สารประธาน / สารเลขาธิการ

สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ สภาผู้บริโภค ได้ดำเนินงานคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค ท่ามกลางปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ผู้บริโภคอย่างไม่หยุดยั้ง ตลอดช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เราสามารถช่วยเหลือผู้บริโภคได้มากกว่า 48,000 เรื่อง (ราย) คิดเป็นมูลค่าการเยียวยากว่า 675 ล้านบาท ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ เพื่อแก้ไขปัญหา สร้างความเป็นธรรม และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ในปี 2567 ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้ทำงานอย่างแข็งขัน และได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลเป็นอย่างดี อย่างเช่น การแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่สภาผู้บริโภคร่วมกับรัฐบาลทำงานอย่างเข้มข้นเพื่อแก้ปัญหา ผลักดันนโยบายและพัฒนากลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ

เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ ถูกหลอกลวงอย่างที่เป็นมา และยังคงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญ อาทิ การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ลดความเสียหายจากภัยมิจฉาชีพออนไลน์ เมืองที่เป็นธรรม (Just City) การเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัยและเป็นธรรม บริการสุขภาพเท่าเทียม มีมาตรฐาน และเรียนฟรี 15 ปี มีคุณภาพอย่างมีส่วนร่วม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ทัดเทียมสากล

ฝากถึงประชาชนทุกคนว่าการทำงานของสภาผู้บริโภคจะไม่เกิดขึ้น การผลักดันในเชิงนโยบายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคจะไม่เกิดขึ้น ถ้าพวกเราไม่กล้าที่จะร้องเรียนเมื่อพบว่าตนเองโดนละเมิดสิทธิ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะร้องเรียน “สภาผู้บริโภคคือเพื่อนแท้ของผู้บริโภค” และเป็นเพื่อนกับทุกคน พร้อมจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้บริโภค ด้วยการสร้างกลไกการคุ้มครองที่ครอบคลุมและทันสมัย

ต่อจากนี้ สภาผู้บริโภคมีความมุ่งหวังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์และเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคดิจิทัล เพื่อยกระดับงานคุ้มครองผู้บริโภค
ลดความเลื่อมล้ำทางสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืนในอนาคต

ท่ามกลางพัฒนาการของเทคโนโลยี สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และปรับเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างต่อเนื่อง สภาผู้บริโภคซึ่งมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน มีภารกิจในการส่งเสริมความเข้มแข็งของผู้บริโภค เสริมสร้างศักยภาพ ทำให้ผู้บริโภครู้เท่าทันปัญหา และผลักดันการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค แน่นอนว่าการทำให้ปัญหาหมดไปเป็นเรื่องยาก แต่อย่างน้อยปัญหาเดิมต้องลดลง และวางแนวทางเพื่อจัดการกับปัญหาใหม่ ๆ ที่เข้ามา

ในปี 2567 การดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคของสภาผู้บริโภคตามนโยบายทั้ง 8 ด้าน เกิดผลสำเร็จมากขึ้น ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากผู้บริโภคและหน่วยงานของรัฐ โดยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะในด้านการหลอกลวงออนไลน์ สภาผู้บริโภคได้ผลักดันให้เกิด “มาตรการเปิดก่อนจ่าย” ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกประกาศให้ผู้บริโภคสามารถขอเปิดดูสินค้าก่อนชำระเงินแบบปลายทางได้ นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มผลักดันนโยบายให้บริการขนส่งสาธารณะทุกคนขึ้นได้ทุกวัน รายจ่ายไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำ ออกจากบ้าน 500 เมตร เจอป้ายรถโดยสารสาธารณะ และรัฐบาลมี นโยบายจนเกิดความสำเร็จรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

ปี 2568 สภาผู้บริโภคพร้อมเดินหน้าผลักดัน 5 นโยบายสำคัญเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน ได้แก่ ลดความเสียหายจากภัยมิจฉาชีพออนไลน์ เมืองที่เป็นธรรม (Just City) การเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัย สิทธิบริการสุขภาพเท่าเทียมมีมาตรฐาน และเรียนฟรี 15 ปี มีคุณภาพอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งการดำเนินงานของสภาผู้บริโภคจะสำเร็จได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาชน ในการร่วมมือกันผลักดันกลไกในการจัดการปัญหา ปัองกัน และวางแนวทางแก้ไข เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองสิทธิได้มากที่สุด

สภาผู้บริโภค ตั้งเป้าหมายที่จะดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเข้มข้น โดยมุ่งขยายเครือข่ายสมาชิกให้ครบทุกจังหวัด เพื่อเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการดูแลแก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยให้ความสำคัญกับปัญหาเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย สร้างสังคมที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน