| Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภค ลงพื้นที่ติดตามการปิดป้ายเตรียม รื้อถอน “ดิเอทัส” หลังคดีค้างคามานานกว่า 11 ปี พร้อมเรียกร้องคุมเข้มเรื่องอาคารสูงในซอยแคบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงความปลอดภัยของชุมชน
วันที่ 1 ธันวาคม 2568 สภาผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมตัวแทนผู้เสียหาย ลงพื้นที่ติดตามการปิดป้ายเพื่อเตรียมรื้อถอนอาคารดิเอทัส ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) หลังจากสภาผู้บริโภคและกทม.ได้หารือเรื่องการดำเนินการคดี “ดิเอทัส ร่วมฤดี” หากยังไม่มีการรื้อถอน และกทม. รับปากจะปิดป้ายหน้าอาคารดิเอทัสเพื่อเตรียมรื้อถอน ในวันที่ 1 ธันวาคม ด้านชาวชุมชนซอยร่วมฤดีเรียกร้องให้ กทม. เร่งดำเนินการรื้อถอนอาคาร “ดิเอทัส” ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาชัดเจนว่าเป็นอาคารที่ก่อสร้างผิดกฎหมาย แต่ผ่านมาแล้ว 11 ปียังไม่มีการรื้อถอนจริง ขณะที่สภาผู้บริโภคย้ำว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาความปลอดภัยสาธารณะที่ไม่อาจเพิกเฉยได้
รื้อถอน “ดิเอทัส”ล่าช้า ส่งผลต่อความปลอดภัยสาธารณะ

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า เมื่อช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน สภาผู้บริโภคได้เข้าพบผู้ว่าฯ กทม. รองผู้ว่าฯ กทม. และผู้อำนวยการเขตปทุมวัน เพื่อหารือเรื่องความคืบหน้าคดีดิเอทัส ซึ่งกทม.และผอ.เขตปทุมวัน รับปากว่าจะติดประกาศปิดอาคารและเริ่มกระบวนการรื้อถอนต่อไป พร้อมย้ำว่ากรณีนี้เป็น “ผลประโยชน์สาธารณะ” เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ไฟไหม้หรือเหตุฉุกเฉินกลายเป็นโศกนาฏกรรมเพราะซอยแคบจนรถกู้ภัยเข้าถึงไม่ได้
“วันนี้สภาผู้บริโภคได้ลงพื้นที่ร่วมกับชุมชนเพื่อสังเกตการณ์การปิดป้ายประกาศของ กทม. ซึ่งถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของกระบวนการรื้อถอน เรื่องนี้ไม่ใช่ประโยชน์ของใครคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องความปลอดภัยสาธารณะที่สำคัญที่สุด หากเกิดเหตุฉุกเฉินแต่รถดับเพลิงเข้าซอยไม่ได้ ใครจะรับผิดชอบชีวิตของประชาชน” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคกล่าว
สารี ย้ำว่า ซอยร่วมฤดีที่มีความกว้างไม่ถึง 10 เมตรตลอดแนวไม่สามารถสร้างอาคารสูงเกิน 8 ชั้นได้ตามกฎหมาย จึงเป็นหน้าที่ของ กทม. ที่ต้องยับยั้งไม่ให้เกิดอาคารผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น พร้อมเรียกร้องให้ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อยกระดับความปลอดภัยด้านอาคารอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประชาชนและคณะนิติบุคคลอาคารชุดสามารถตรวจสอบข้อมูลอาคารในพื้นที่ของตนได้ผ่านเว็บไซต์ของสภาองค์กรของผู้บริโภค
“สภาผู้บริโภคขอบคุณชุมชนซอยร่วมฤดี ทีมทนาย ศาลปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมผลักดันเรื่องนี้ และหวังว่ากรณีดิเอทัสจะเป็นบทเรียนสำคัญเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการจัดการอาคารในเมืองให้ปลอดภัยสำหรับทุกคน” สารี กล่าว
ระบบกำกับดูแล กทม. ล้มเหลว หากคดีถูก “ดึงยาว” ต่อไป

ก้องศักดิ์ สหศักดิ์มนตรี อนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า คดีนี้สะท้อนความล้มเหลวของระบบนิติธรรมอย่างชัดเจน เพราะศาลปกครองสูงสุดตัดสินแล้วว่าผิด แต่ กทม. ใช้เวลานานเกินกว่าจะบังคับคดีอย่างเป็นรูปธรรม “ผิดคือผิด และทุบคือทุบ” เขากล่าว พร้อมชี้ว่าหากคำพิพากษาถูกละเลย ประชาชนจะไม่มีใครกล้าฟ้องร้องเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนอีก
“ปัญหาเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กรณีดิเอทัส แต่ยังพบอาคารสูงกว่า 60 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ที่สร้างสูงเกินมาตรฐานในซอยแคบ ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคได้ส่งหลักฐานให้ กทม. นานกว่า 6 เดือนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม” ก้องศักดิ์ระบุ
เสียงสะท้อนชุมชน อาคารสูงซอยแคบ = ไม่ปลอดภัย

กฤษฎา กิตติพันธ์เลิศ ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบชุมชนซอยร่วมฤดี และผู้ฟ้องคดี ระบุว่า อาคารดิเอทัสก่อสร้างผิดกฎหมาย เนื่องจากซอยร่วมฤดีมีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร ทำให้ตามกฎหมายสามารถสร้างอาคารได้ไม่เกิน 7 ชั้น หรือสูง 23 เมตร เช่นเดียวกับอาคารอื่นในพื้นที่ที่เคยยื่นขออนุญาตก่อสร้าง แต่กลับพบว่าดิเอทัสสร้างสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด สร้างความกังวลด้านความปลอดภัยอย่างมากต่อคนในชุมชน
“อดีตเคยมีเหตุไฟไหม้ในซอย ทำให้รถดับเพลิงไม่สามารถเข้าถึงจุดเกิดเหตุได้ทันเวลา การปล่อยให้มีอาคารสูงผิดกฎหมายในพื้นที่ลักษณะนี้จึงเป็น “ความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้” พร้อมขอบคุณ นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ (ผู้ฟ้องคดี ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว) และทีมทนายจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องนี้มาตลอดหลายปี” กฤษฎา กล่าว





ข่าวที่เกี่ยวข้อง



