Getting your Trinity Audio player ready... |

เปิดเวทีสภาผู้บริโภค ระดม 21 จังหวัดวางแผน ขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม เข้าถึงได้ทุกคน ชี้อุปสรรคกระจายอำนาจล่าช้า แนะตั้ง “กองทุนรถโดยสารประจำทาง” สร้างระบบขนส่งในจังหวัดยั่งยืน
สภาผู้บริโภค เปิดเวทีระดมความคิดเห็น ขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม เข้าถึงได้ทุกคน เปิดอุปสรรคหลักมาจากการกระจายอำนาจล่าช้า พร้อมชูโมเดลที่สำเร็จกับจังหวัดภูเก็ตที่แก้ไขได้สำเร็จจากหน่วยงานท้องถิ่น อบจ.เข้มแข็ง เสนอทางออกจัดตั้ง “กองทุนรถโดยสารประจำทาง” ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ขับเคลื่อนงานด้านขนส่งสาธารณะอย่างยั่งยืน

บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความล้มเหลวและความเหลื่อมล้ำของระบบขนส่งมวลชนในประเทศ สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่โครงการรถไฟฟ้ามักกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และมุ่งไปสู่พื้นที่ที่มีความเจริญเติบโตทางธุรกิจ เช่น ใกล้ห้างสรรพสินค้า แม้ว่าจะมีระบบขนส่งก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่เข้าถึงไม่ได้เนื่องจากราคาแพง หรือบางกลุ่มที่มีกำลังมากพอก็หันไปซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์เพราะมองว่าสะดวกและคุ้มค่ากว่า
ขณะที่ระบบขนส่งในต่างจังหวัดกลับถูกละเลย ความไม่พร้อมของระบบนี้ทำให้การขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัดขาดทุน และประชาชนต้องหันไปซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ส่วนตัวแทน สภาผู้บริโภคจึงได้ร่วมมือกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะให้แก่ทุกคน และเสนอว่าหากหน่วยงานยังคงละเว้นหน้าที่ในการจัดให้มีบริการที่สะดวก

ด้าน อดิศักดิ์ สายประเสริฐ อนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวถึง บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาล ซึ่งมีกฎหมายรับรองอย่างชัดเจน แต่ การขับเคลื่อนงานในพื้นที่ยังคงประสบปัญหาเนื่องจาก การกระจายอำนาจยังมีความล่าช้า อำนาจในการกำหนดและแก้ไขเส้นทางเดินรถยังคงอยู่ที่หน่วยงานส่วนกลาง (กรมการขนส่งทางบก) ทำให้เส้นทางเดินรถที่มีอยู่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับบริบทของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับกระบวนการขอแก้ไขเส้นทางที่ใช้ระยะเวลานาน ความล่าช้านี้เองที่ผลักภาระให้ผู้บริโภคต้องตัดใจซื้อยานพาหนะส่วนตัวแทนการรอระบบขนส่งสาธารณะที่ขาดประสิทธิภาพ
อีกทั้ง อดิศักดิ์ ได้นำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของ อบจ. ภูเก็ต ซึ่งเป็น อบจ. แห่งเดียวที่ให้บริการรถโดยสารประจำทางอย่างสม่ำเสมอ โดย อบจ. ภูเก็ต ได้ใช้กลไกทางกฎหมายในการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อกำกับดูแลกิจการ และสามารถต่อสู้ทางคดีในศาลปกครองเอาชนะข้อกล่าวอ้างของเอกชนว่า อบจ. ไม่มีอำนาจได้สำเร็จ เพื่อให้ อปท. อื่น ๆ สามารถดำเนินการได้
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคเสนอแนะว่า อปท. ควรต้องมีการจัดตั้ง “กองทุนรถโดยสารประจำทาง” ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เพื่อรับผิดชอบงานด้านขนส่งสาธารณะโดยตรง และใช้กลไกการประสานงานที่มีอยู่ เช่น การกระตุ้นให้คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจังหวัด (อจร.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาจราจรและขนส่งมวลชนในพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมต่อประชาชนทุกคน

ทางด้าน สุรพงษ์ เมี้ยนมิตร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวถึง แผนยุทธศาสตร์ด้านขนส่งสาธารณะระดับประเทศและส่วนภูมิภาค และแนวทางการจัดการนโยบายระบบตั๋วร่วมในประเทศไทย ที่มีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลนั้น สนข. ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้สูงถึงร้อยละ 18 ภายในปี 2568 โดยมีแผนเรื่องการสร้างรถไฟฟ้าเพิ่มเติมและสนับสนุนระบบเชื่อมต่อการเดินทาง (Feeder) เพื่อแก้ไขปัญหาการเดินทางในระยสั้นและระยะยาว
สำหรับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะใน เมืองหลักในภูมิภาค เช่น เชียงใหม่, นครราชสีมา, ภูเก็ต, ขอนแก่น ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเมืองหลักให้สูงกว่าร้อยละ 10 ภายในปี 2570 และไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ภายในปี 2580
จากผลการศึกษาล่าสุด สนข. เสนอให้มีการเปลี่ยนผ่านระบบขนส่งมวลชน โดยให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ รถเมล์พื้นต่ำที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Low-Floor EV Bus) ในรูปแบบการใช้พื้นผิวจราจรร่วมกับยานพาหนะอื่น ๆ เป็นบริการหลักในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนทางสังคมและแก้ปัญหาการเข้าถึงในพื้นที่ที่จำกัด
ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการ สนข. เห็นด้วยว่า ค่าเดินทางต่อวันไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ และในระยะเริ่มต้นยกตัวอย่างเฉพาะในกรุงเทพฯ มองว่าค่าเดินทางไม่ควนเกิน 100 บาทต่อวัน โดยยกตัวอย่าง โครงการ 20 บาท สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง แสดงให้เห็นว่า ราคาที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากประมาณ 20,000 กว่าคน เป็นประมาณ 40,000-50,000 คน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 50% แต่กำหนดราคาต้องพิจารณาเพื่อให้ ไม่เป็นภาระกับภาครัฐจนเกินไป เพื่อให้ระบบสามารถยั่งยืนได้
อีกทั้งมีผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ที่ขับรถยนต์ส่วนตัวและผู้ที่ใช้รถไฟฟ้า พบว่า 60-70% เห็นว่า ค่าโดยสารควรจะถูกลง เพื่อจูงใจให้มีการใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น อีกทั้งจากการวิเคราะห์ พบว่า ค่าใช้จ่ายต่อวัน ในการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น เดินทางด้วยรถแท็กซี่ 80 บาท ค่าเดินทางไปกลับรวม 160 บาท เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายต่อวันของ รถยนต์ส่วนบุคคล รวมค่าน้ำมันและระยะทาง นั้น ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนยังคงใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่


การจัดเวทีเรื่องระบบ ขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม เป็นส่วนหนึ่งของงานระดมความคิดเห็นซึ้งมีสภาผู้บริโภคเป็นผู้จัดขึ้นได้จัดขึ้นระหว่าง 6 – 7 ตุลาคม 2568 ภายใต้โครงการ “พัฒนาศักยภาพการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค” เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพองค์กรผู้บริโภค 21 จังหวัดให้มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสถานการณ์ปัญหา ใน 4 ประเด็น โดยมีเวทีในประเด็นอื่นที่จัดต่อเนื่อง คือ ประเด็นการยืนยันตัวตนผู้ขายสินค้าออนไลน์ การจัดการสายสื่อสาร และสัญญาเช่าหอพักที่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ในช่วงบ่ายของวันที่ 6 ตุลาคม ได้มีการจัดกิจกรรม เวิร์กช้อป “การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านขนส่งสาธารณะ” โดยชวนตัวแทนจากเครือข่ายผู้บริโภค วิเคราะห์สถานการณ์การขนส่งในปัจจุบัน กำหนดเป้าหมาย และจัดทำแผนสำหรับปฏิบัติการขับเคลื่อนระบบขนส่ง




ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เดินไกล ไม่มีรถ ตั๋วแพง ปัญหาใหญ่ระบบขนส่งสาธารณะต่างจังหวัด เหตุเพราะ “ท้องถิ่น” ไม่มีบทบาท