Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภค จับมือ สสส. ขับเคลื่อนระบบ ขนส่งสาธารณะ ไร้รอยต่อที่ปลอดภัยทุกคนขึ้นได้ พร้อมหนุน อปท.ใน 12 จังหวัด ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
วันที่ 8 ตุลาคม 2568 สภาผู้บริโภค ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวที “เปิดตัวความร่วมมือสานพลังท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาขนส่งสาธารณะไร้รอยต่อที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกคนขึ้นได้” เพื่อสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่ายผู้บริโภค ในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ตอบโจทย์ความเท่าเทียมและยั่งยืน สำหรับข้อเสนอจากในเวทีในครั้งนี้ คือ การปลดล็อกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้นำแนวคิดเงินอุดหนุนนักเรียนรายหัวให้กับโรงเรียนเอกชนมาปรับใช้กับการอุดหนุนระบบ ขนส่งสาธารณะ ในระดับจังหวัด

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า การมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีนั้นเป็นต้นทางของการลดอุบัติเหตุ เพราะในปัจจุบันหากประชาชนไม่มีระบบขนส่งที่ดี ประชาชนต้องพึ่งพาตนเองด้วยการมีรถยนต์ส่วนตัว หรืออย่างน้อยต้องมีรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุ นอกจากนี้ การมีระบบขนส่งมวลชนที่แพงเกินไปก็ถือเป็นภาระสำหรับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งบางรายอาจมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางถึง 200 กว่าบาทต่อวัน
สภาผู้บริโภคจึงได้ผลักดันให้ระบบขนส่งสาธารณะสามารถ “เข้าถึงและจ่ายได้” โดยเสนอให้กำหนดค่าโดยสารไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การระหว่างประเทศและหลายประเทศ การเข้าถึงที่สะดวกสบาย โดยประชาชนควรสามารถเดินออกจากบ้านแล้วเจอจุดรอรถ ภายในระยะ 500 เมตร โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาระบบที่มีความปลอดภัย ไร้รอยต่อ และ ทุกคนสามารถขึ้นได้ทุกวัน ซึ่งหมายถึงการมีระบบที่เข้าถึงได้ ปลอดภัย เป็นธรรม และยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ ผู้สูงอายุ เด็ก วัยทำงาน หรือคนรายได้น้อย ทุกคนต้องมีโอกาสเท่าเทียม
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคพร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานหลักหลายภาคส่วน อาทิ กรมขนส่งทางบก (ขบ.) กรมขนส่งทางราง (ขร.) สำนักนโยบายและแผนการขนส่งจราจร (สนข.) รวมถึงการสนับสนุนหน่วยงานประจำจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีเครือข่ายความร่วมมือใน 12 จังหวัด และมีแผนจะขยับเพิ่มเป็น 21 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ที่สภาผู้บริโภคมีหน่วยงานประจำจังหวัดของใน 21 จังหวัด รวมทั้งมีองค์กรสมาชิกอีก 58 จังหวัดที่พร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน
“การพัฒนาระบบ ขนส่งสาธารณะ ที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวันน่าจะเป็นภาพฝันของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะที่ถือว่าเป็นสิทธิของประชาชน เราอยากเห็นว่ามีการพัฒนาที่ไร้รอยต่อ ปลอดภัย ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน สภาผู้บริโภคสนับสนุนให้เกิด “คาร์ฟรี” ทุกวัน (Car Free Everyday) โดยมีหน่วยงานประจำจังหวัดที่เข้มแข็งพร้อมสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานนโยบายและแผนขนส่งจราจร สนับสนุนการกระจายอำนาจ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ” สารี กล่าว
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน ทั้งในส่วนการรณรงค์ให้คนมาใช้บริการ การพัฒนาคุณภาพผ่านระบบรายงานความคิดเห็นของผู้ใช้บริการในแต่ละจังหวัด ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร

ก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า สสส. ได้ดำเนินโครงการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับสภาผู้บริโภคมาตั้งแต่ปี 2550 สำหรับเป้าหมายการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ ไร้รอยต่อ มีมาตรฐาน ปลอดภัย และมีราคาที่เป็นธรรม รวมถึงการยกระดับความปลอดภัยของ รถนักเรียน ถือเป็นโจทย์ท้าทาย ซึ่งสสส. จะมุ่งส่งเสริมงานวิชาการ การทำงานร่วมกับเครือข่ายในจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนนโยบายร่วมกันเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว
“การมีระบบการจัดการขนส่งสาธารณะที่ดีจะช่วยลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัวลงได้ ซึ่งปัจจุบันในหลายจังหวัดมีอัตราการใช้รถส่วนตัว โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์จำนวนมาก ทำให้ความเสี่ยงบนถนนสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมาก “ ก่องกาญจน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนด้านระบบขนส่งที่แท้จริงนั้นต้องอาศัยงบประมาณและการดำเนินการในระดับพื้นที่ สสส. จึงเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานกับจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเครือข่ายท้องถิ่น เพื่อช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำงานที่เป็นระบบ โดยในระยะ 3 ปีข้างหน้าจะมีการ ขยับการทำงานลงสู่พื้นที่มากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิในระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยต่อไป

สุรพงษ์ เมี้ยนมิตร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า สนข. มีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์เพื่เพื่อการขนส่งที่มีประสิทธิภาพที่ชัดเจน สำหรับการขนส่งในเขตเมือง นั้น สนข. มุ่งเน้นการเปลี่ยนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมาเป็นระบบขนส่งสาธารณะให้ได้ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร ส่วนเป้าหมายของการขนส่งระหว่างเมือง คือการเปลี่ยนการขนส่งทางถนนมาเป็นระบบทางรางและทางน้ำ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความตรงต่อเวลา
สำหรับการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ สนข. ได้วางแผนการศึกษาใน 11 จังหวัดเมืองหลัก โดยมีเป้าหมายให้ระบบขนส่งสาธารณะมีสัดส่วนการเดินทางประมาณร้อยละ 10 ซึ่งกรอบแนวคิดในการส่งเสริมดังกล่าวใช้หลักการที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การมีความครอบคลุมของโครงข่ายให้ครบถ้วนสมบูรณ์ การให้บริการที่ต้องมีความเพียงพอ การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่เหมาะสมและสะดวกสบาย รวมถึงการปรับปรุงทางเท้า และการเชื่อมต่อการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น สถานีขนส่ง สถานีรถไฟฟ้า
ทั้งนี้ จากการศึกษาการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่ต่างจังหวัด พบว่าการดำเนินการต้องใช้เงินและเวลา และสิ่งสำคัญคือหากต้องการสร้างโครงข่ายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ไม่สามารถทำทีละเส้นทางได้ สนข. จึงกำลังผลักดันแนวคิดที่ให้ท้องถิ่นหรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นผู้รับผิดชอบหลักและถือใบอนุญาตประกอบการ พร้อมสนับสนุนให้มีการ จ้างวิ่ง เอกชนมาเดินรถ ภายใต้ข้อตกลงระดับการบริการ ซึ่งจะช่วยให้ อบจ. สามารถกำหนดทิศทางและปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่ได้
“สิ่งสำคัญที่เราค้นพบจากการศึกษาก็คือ เราไม่สามารถทำทีละเส้นได้ การทำต้องทำพร้อมกันทั้งจังหวัด เพราะหากทำ 1 เส้นทาง เมื่อคนเดินทางจุดหนึ่งและไปต่อไม่ได้ ก็จะไม่เกิดการเดินทางเป็นโครงข่ายและคนก็จะไม่หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ” สุรพงษ์ระบุ
รองผู้อำนวยการ สนข. กล่าวอีกว่าเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปได้ สนข. จึงเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนระดับจังหวัด ขึ้นมา โดยอาจให้ภาครัฐลงไปเปิดก่อน และที่เหลือใช้เงินที่หาได้จากในจังหวัด เช่น จากการจดทะเบียน หรือแหล่งอื่น ๆ เพื่อให้เอกชนที่เข้ามาร่วมโครงการได้รับรายได้ที่แน่นอนและไม่ขาดทุน

ด้าน เรวัต อารีรอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต ในฐานะจังหวัดต้นแบบ เล่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับระบบขนส่งในจังหวัดภูเก็ตว่า เดิมในจังหวัดภูเก็ตเคยมีรถสองแถวซึ่งคนภูเก็ตเรียกว่า “รถโพธิ์ถ้อง” แต่การขนส่งในรูปแบบดังกล่าวไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมาใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัญหาด้านสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบาย ทั้งจากความร้อนเมื่อแดดออก และความเปียกชื้นเมื่อฝนตก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงได้เปลี่ยนนโยบายจากรถสองแถวมาเป็นรถเมล์ไฟฟ้า (อีวีบัส) เพื่อยกระดับบริการ โดยยืนยันว่าการดำเนินงานของท้องถิ่นในด้านสาธารณะนั้นไม่หวังผลกำไร และพร้อมที่จะขาดทุนเพื่อให้บริการแก่ประชาชน
นอกจากนี้ เรวัต ยังได้นำเสนอแนวคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อให้รัฐบาลไม่ต้องแบกรับภาระการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งมูลค่ากว่า 30,000 ถึง 40,000 ล้านบาท โดยเสนอให้กระทรวงคมนาคมมอบเส้นทางและใบอนุญาตการเดินรถให้แก่ อบจ. เป็นผู้ดูแล ในขณะที่ อบจ. ต้องเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนและเดินรถได้ในระยะยาว เช่น 10 20 หรือ 30 ปี โดยใช้ระบบรถล้อยางที่อาศัยเทคโนโลยีทันสมัยแทนระบบราง
หัวใจสำคัญของโมเดลนี้คือ อบจ. จะเป็นผู้กำหนดอัตราค่าโดยสารที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานตลอดสาย เช่น 20 บาท หรือ 25 บาท ตลอดสาย เพื่อควบคุมราคาและสร้างแรงจูงใจให้เอกชนเข้ามาวิ่ง และยังเป็นการแก้ปัญหาจราจรได้อย่างยั่งยืนโดยที่รัฐบาลไม่ต้องลงทุน

ประวัตร กิจธรรมกูลนิจ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า การให้บริการขนส่งสาธารณะโดยระบบรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) ในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายหาเสียงก่อนเข้ารับตำแหน่งและให้อบจ.กาญจนบุรีดำเนินการ ซึ่งต้องใช้เวลาในการผลักดันและเตรียมการถึง 2 ปี โดยได้มีการทดลองเปิดให้บริการเดินรถเมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา และกำหนดค่าบริการไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย วันนี้อบจ.กาญจนบุรี เตรียมคิกออฟระบบรถ EV Bus ภายในธันวาคม 2568 ครอบคลุม 3 อำเภอ พร้อมสนับสนุนให้มีกองทุนท้องถิ่นช่วยชดเชยต้นทุน เพื่อผลักดันโครงการอย่างต่อเนื่องในปีต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
7 พื้นที่ต้นแบบขับเคลื่อน ระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรม