ชี้ชัด สินเชื่อบ้าน – ที่ดิน ‘ศรีสวัสดิ์’ เอาเปรียบผู้บริโภค

สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ยืนยัน สินเชื่อบ้าน – ที่ดิน ไม่จดจำนอง ‘ศรีสวัสดิ์’ เอาเปรียบผู้บริโภค

จากการที่บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 99 ในบริษัท ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 2014 จำกัด ส่งหนังสือถึงสำนักข่าวต่าง ๆ เพื่อชี้แจงถึงกรณีที่ สอบ.แถลงข่าว ‘เตือนภัย บริษัทให้กู้สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง’ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 นั้น

9 กรกฎาคม 2565 โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สอบ. กล่าวถึงกรณีการส่งหนังสือชี้แจงของบริษัท ศรีสวัสดิ์ฯ ว่า เนื้อความที่ระบุในจดหมายดังกล่าวไม่ได้ชี้แจงถึงปัญหาอย่างตรงประเด็น ทั้งยังมีข้อความบางส่วนที่อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้ เช่น บอกว่าการไม่ส่งมอบคู่ฉบับสัญญานั้นไม่กระทบต่อผู้บริโภค การหยิบยกอีกบริษัทหนึ่งขึ้นมาเปรียบเทียบกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ทั้งที่เป็นคนละบริษัทและได้รับใบอนุญาตไม่เหมือนกัน เป็นต้น

โสภณ อธิบายว่า สำหรับกรณีการไม่ส่งมอบสัญญาคู่ฉบับให้ผู้บริโภค ซึ่งทางบริษัทชี้แจงว่าได้แจ้งต่อผู้ขอรับสินเชื่อทุกราย ว่าสามารถติดต่อขอรับสำเนาเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ในภายหลังตามความสะดวก พร้อมระบุว่า หากมีการฟ้องร้อง บริษัทจะต้องชี้แจงรายละเอียด รวมถึงนำส่งเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ศาลและผู้ขอรับสินเชื่อได้พิจารณาโดยละเอียดอยู่แล้ว นั่นแปลว่า บริษัทไม่ได้ส่งคู่ฉบับสัญญาให้ผู้บริโภคจริง

“สอบ.ยืนยันว่าการไม่ส่งมอบสัญญาคู่ฉบับนั้น เป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคแน่นอน และตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจต้องส่งมอบสัญญา รวมถึงเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กับผู้บริโภคทันทีเมื่อลงนามในสัญญา ไม่ใช่สร้างภาระให้ผู้บริโภคต้องติดตามขอรับเอกสารในภายหลัง ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษของผู้ประกอบการที่ไม่นำส่งคู่ฉบับไว้ คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” โสภณกล่าว

ส่วนกรณีการขายประกันพ่วงโดยไม่ให้สิทธิปฏิเสธนั้น แม้บริษัทแจ้งว่ามีนโยบายชัดเจนว่า ผู้ขอรับสินเชื่อไม่มีหน้าที่หรือเงื่อนไขใด ๆ ในการซื้อประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยกับบริษัทฯ และบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด มีใบอนุญาตนายหน้าขายประกันตามกฎหมาย ย่อมทราบดีถึงกฎระเบียบในการขายประกัน ว่าผู้ขายประกันจะต้องมีใบอนุญาตเท่านั้น แต่กลับปล่อยให้พนักงานบางสาขาของบริษัทขายประกันโดยไม่มีใบอนุญาต และสุดท้ายบริษัทก็ได้ผลประโยชน์ค่านายหน้าการขายประกัน กรณีนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าบริษัทรู้ หรือควรจะรู้ หรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าว ดังนั้น บริษัทจึงต้องรับผิดชอบต่อผู้บริโภคตามกฎหมาย

หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค กล่าวต่ออีกว่า ประเด็นการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด การที่บริษัทกล่าวอ้างถึงบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด ที่สามารถเก็บอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี เนื่องจากเป็นบริษัทสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยนำมาเปรียบเทียบกับ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด คำชี้แจงเช่นนี้ทำให้เกิดความสับสน เนื่องจากทั้ง 2 บริษัท เป็นคนละนิติบุคคลกัน และบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ไม่ได้มีใบอนุญาตดังกล่าว

ทั้งนี้ ตามที่บริษัทฯ อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นหลักฐานว่า ‘ธุรกรรมการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ถือเป็นการให้กู้ยืมเงินภายใต้กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา’ นั้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะสัญญาที่ผู้บริโภคร้องเรียนมายัง สอบ.นั้นไม่ใช่การทำธุรกรรมตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่เป็นสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา

นอกจากนี้ การอ้างชื่อบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด ว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตและมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินได้โดยนำมาเกี่ยวโยงกับกรณีของบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัดนั้น อาจทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่าคู่สัญญาที่แท้จริงเป็นบริษัทศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด และย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด มีส่วนรู้เห็น หรือยินยอม หรือชักใยในการกระทำความผิดภายในกลุ่มของบริษัท ดังนั้น จึงสมควรที่จะต้องมีการตรวจสอบความเกี่ยวโยงของการกระทำความผิดของบริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด ด้วย ว่ามีพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิดหรือสนับสนุนให้กระทำความผิดใด ๆ ด้วยหรือไม่

สำหรับประเด็นที่ผู้บริโภคไม่ได้รับเงินกู้ครบตามจำนวน และ บริษัทชี้แจงว่า เป็นค่าธรรมเนียมประกันอัคคีภัย ประกันชีวิตกลุ่ม และประเมินหลักประกันสำหรับสินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง ย่อมเป็นการยอมรับว่า คำโฆษณาว่าการโฆษณาฟรีค่าธรรมเนียมนั้นไม่เป็นความจริง ถือว่าอาจเข้าข่ายโฆษณาหลอกลวง ซึ่ง สอบ.มีหนังสือไปถึง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ขอให้ตรวจสอบโฆษณาดังกล่าว และต่อมา สคบ. ก็มีหนังสือเชิญบริษัทเข้าไปชี้แจง (อ่านข่าวได้ที่ สคบ. เตรียมเรียก ‘ศรีสวัสดิ์’ ชี้แจงข้อเท็จจริง)

โสภณ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่บริษัทออกแบบการชำระสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (สินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง) โดยจำกัดการชำระเงินต้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้บริโภคต้องมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทั้งยังทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถปิดหนี้ได้โดยง่าย เพราะแม้ว่าผู้บริโภคจะชำระเงินรายงวดมากกว่ายอดที่กำหนด เงินที่เกินนั้นก็ไม่ได้นำไปหักลดยอดเงินต้นในทันที แต่ถูกเก็บเอาไว้เพื่อเป็นเงินชำระในงวดถัดไป

อีกทั้งการที่บริษัทกล่าวอ้างว่า สาเหตุที่ต้องกำหนดให้ผู้กู้ชำระเงินให้ครบภายใน 12 เดือน เนื่องจากบริษัทต้องบริหารความเสี่ยง โดยการทำราคาประเมินบ้านและที่ดินใหม่ รวมถึงประเมินสภาพแวดล้อมของบ้านและที่ดินใหม่ดังกล่าว เพื่อให้มั่นใจว่าหลักประกันมีสภาพสมบูรณ์ เช่น ที่ดินไม่ได้มีการขุดหน้าดินไปขาย หรือเกิดความเสียหายกับตัวบ้าน เป็นต้นนั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะบริษัทมีการวางแผนบริหารความเสี่ยงอยู่แล้วโดยจำกัดวงเงินกู้ไว้ที่ 200,000 บาท และไม่เกินร้อยละ 40 ของมูลค่าทรัพย์ที่ประเมินจากกรมที่ดิน จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเก็บค่าประเมินดังกล่าว

ทั้งนี้ พบว่าบริษัทไม่ได้ชี้แจงเรื่องที่ไม่คืนโฉนด โดยอ้างว่ามีค่าธรรมเนียมค้างชำระแต่อย่างใด และพบข้อเท็จจริงว่ามีผู้บริโภคที่ไปใช้บริการสินเชื่อบ้านและที่ดินไม่จดจำนอง และพบปัญหาในลักษณะดังกล่าวเช่นกันผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะบริษัท ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 2014 จำกัด เท่านั้น ที่มีพฤติการณ์ในลักษณะดังกล่าว แต่เชื่อว่าน่าจะมีอีกหลายบริษัทที่มีพฤติการณ์ทำนองเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งเป็นการทำลายความสงบเรียบร้อยอันดีของประชาชน ซึ่ง สอบ.จะเข้าไปตรวจสอบในทุกกรณี ที่มีการกระทำความผิด เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค

#สภาองค์กรของผู้บริโภค #ผู้บริโภค