Getting your Trinity Audio player ready... |

การมี ‘ระบบขนส่งสาธารณะ’ ที่ดี คือจุดเริ่มต้นของคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะผู้บริโภคจะเดินทางได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และประหยัด แต่สำหรับหลายจังหวัดในไทย การใช้รถโดยสารกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เจอปัญหา รถน้อย คอยนาน เส้นทางไม่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน ทำให้คนต้องหันมาใช้รถส่วนตัว แล้วระบบขนส่งแบบไหนที่คนไทย “อยากใช้” และ “ใช้ได้จริง”
ระบบขนส่งสาธารณะควรเป็น “บริการพื้นฐาน” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเดินทางไปทำงาน ไปโรงเรียน ไปโรงพยาบาล หรือไปท่องเที่ยว แต่ในความเป็นจริง สำหรับหลายจังหวัดในประเทศไทย “ขนส่งสาธารณะ” กลับกลายเป็นเพียงทางเลือกสุดท้าย ที่มีเพียงไม่กี่คนเลือกใช้ สาเหตุมาจากปัญหาเดิม ๆ รถน้อย คอยนาน มีให้บริการเฉพาะบางเส้นทาง และไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนในยุคปัจจุบัน เมื่อประชาชนไม่ใช้บริการ ภาครัฐก็ไม่ให้ความสำคัญ ส่งผลให้ระบบขนส่งในต่างจังหวัด “หยุดนิ่ง” หรือบางพื้นที่อาจถดถอยยิ่งกว่าเดิม
สภาผู้บริโภคชวนพูดคุยกับ อดิศักดิ์ สายประเสริฐ อนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค ว่าด้วยภาพความจริงของระบบขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัด ปัญหาที่เรื้อรังมานาน สาเหตุที่แท้จริง และแนวทางการแก้ไขที่เป็นไปได้ เพื่อหาคำตอบว่า“เราจะทำให้ระบบขนส่งสาธารณะของไทย กลับมาเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของทุกคนได้อย่างไร?”
รถน้อย คอยนาน เส้นทางไม่ตอบโจทย์ชีวิตจริง

“รถน้อย คอยนาน” คือคำสรุปสั้น ๆ ของปัญหาที่คนต่างจังหวัดรู้ดี อดิศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่าระบบขนส่งส่วนใหญ่ไม่มีตารางเวลาเดินรถที่แน่นอน บางเส้นทางมีเพียงไม่กี่รอบต่อวัน ทำให้ผู้โดยสารต้องรอนาน หรือต้องหันไปใช้รถจักรยานยนต์และรถยนต์ส่วนตัวแทน ซึ่งไม่เพียงเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย แต่ยังซ้ำเติมปัญหารถติดและมลพิษทางอากาศในระยะยาว
อีกทั้งเส้นทางการเดินรถมักจำกัดเฉพาะพื้นที่สำคัญ เช่น ศาลากลาง โรงพยาบาล หรือสถานศึกษา แต่ไม่ได้เชื่อมถึงชุมชนหรือหมู่บ้านที่ผู้คนอาศัยจริง ๆ ผู้ที่ไม่มีรถส่วนตัวจึงต้องเดินไกลหรือเสียค่าโดยสารเพิ่มจากการต่อรถ เช่น การเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 150 – 200 บาทต่อเที่ยว ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้เฉลี่ยของคนในพื้นที่
ตัวอย่างเช่น จังหวัดขอนแก่น ที่เคยมีรถเมล์หลายร้อยคัน ปัจจุบันเหลือไม่ถึงครึ่ง สะท้อนว่าระบบขนส่งสาธารณะกำลัง “หายไปอย่างช้า ๆ” จากชีวิตผู้คนในต่างจังหวัด
โควิด-19: จุดสะดุดของ ระบบขนส่งสาธารณะ
อดิศักดิ์ อธิบายว่า โควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะทรุดหนัก เมื่อช่วงล็อกดาวน์ รถโดยสารต้องหยุดวิ่ง รายได้หาย แต่ไม่มีนโยบายเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายขาดทุนจนต้องขายรถหรือปิดกิจการถาวร
ในขณะเดียวกัน การเข้าถึงยานพาหนะส่วนบุคคลก็ง่ายขึ้นอย่างมาก ดาวน์มอเตอร์ไซค์เริ่มต้นเพียงหลักร้อยบาท ผ่อนรายเดือนถูกกว่าใช้บริการขนส่งสาธารณะในระยะยาว อีกทั้งยังนำไปหารายได้เสริมได้ เช่น ขับแกร็บ (Grab) หรือฟู้ดเดลิเวอรี่ (Food Delivery) ส่งผลให้จำนวนการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ใหม่เพิ่มสูงมากในช่วงหลังโควิด โดยก่อนช่วงปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด – 19 มีจำนวนการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ ประมาณ 1,800,000 คัน แต่ปี 2565 และ 2566 คือช่วงหลังโควิดพบว่ามีจำนวนการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ 2,075,723 คัน และ 1,878,000 คันตามลำดับ
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อเนื่องยาวนาน คือการวางแผนเชิงนโยบายแบบแยกส่วน การทำผังเมืองมักเน้นเรื่องการจัดสรรการใช้ประโยชน์ที่ดิน แต่ไม่ได้คำนึงถึงเส้นทางคมนาคมหรือการจราจร ระบบขนส่งสาธารณะจึงไม่ได้ถูกออกแบบควบคู่ไปกับการขยายตัวของเมือง ส่งผลให้เส้นทางเดินรถไม่ครอบคลุม การพัฒนาล่าช้าและไม่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนแปลงไป
วางแผนใหม่ ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม
การจะฟื้นระบบขนส่งสาธารณะให้กลับมาน่าใช้ ต้องทำให้มันกลายเป็น “ทางเลือกที่ดีกว่า” ไม่ใช่ “ทางเลือกสุดท้าย” อดิศักดิ์ เสนอว่า การวางแผนต้องเริ่มจาก “เสียงของประชาชน” ผ่านการสำรวจข้อมูลการเดินทางจริง (Origin-Destination Survey) เพื่อออกแบบเส้นทางและจุดจอดที่ตอบโจทย์ชีวิตคนในพื้นที่
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ.) ควรเป็นผู้เล่นหลัก เพราะรู้บริบทพื้นที่ดีที่สุด อาจลงทุนเอง เช่น จัดซื้อรถไฟฟ้า (EV) สร้างสถานีชาร์จ แล้วให้เอกชนเดินรถ หรือร่วมกับภาคเอกชนโดยตั้งมาตรฐานรอบวิ่งและ”ควบคุมค่าโดยสารให้เหมาะสม
“ศักยภาพงบประมาณของอบจ. มีอยู่แล้ว เพราะได้รับส่วนแบ่งภาษีรถยนต์ถึง 80% ซึ่งสามารถนำกลับมาลงทุนในระบบขนส่งเพื่อชุมชนของตนเองได้จริง” อนุกรรมการด้านขนส่งฯ ระบุ
ทั้งนี้ ควรตั้งมาตรฐานการให้บริการ เช่น รับประกันว่ารถจะมาทุก 15 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน และมีป้ายจอดที่เข้าถึงได้ในระยะ 300-400 เมตรจากบ้านหรือที่ทำงาน แนวทางนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่าสามารถพึ่งพาระบบขนส่งสาธารณะได้จริง
สร้างแรงจูงใจ ให้คนอยากใช้ระบบขนส่งฯ
แม้ระบบขนส่งจะดีแค่ไหน แต่หากคนยังยึดติดกับการใช้รถส่วนตัว ปัญหารถติดก็ยังคงอยู่ อนุกรรมการด้านการขนส่งฯ จึงเสนอว่า หลังจากปรับปรุงและพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะแล้ว ต้องมีการรณรงค์สร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนเห็นประโยชน์ของการใช้ขนส่งสาธารณะ เช่น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง ลดมลพิษ และเพิ่มเวลาส่วนตัว
ตัวอย่างจากต่างประเทศน่าสนใจ เช่น ญี่ปุ่นที่กำหนดให้ต้องมีที่จอดรถก่อนซื้อรถใหม่ หรือสิงคโปร์ที่เก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge) เพื่อจูงใจให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าหรือรถเมล์มากขึ้น ไทยเองอาจค่อย ๆ ปรับค่านิยมโดยเริ่มจากการปรับคุณภาพระบบให้ดีขึ้นก่อน เพื่อให้คนอยากใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยความสมัครใจ
ระบบขนส่งที่ดีควร เข้าถึงได้เท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรืออยู่ในชนบท และต้องเข้าถึงได้ในราคาที่เป็นธรรม ปลอดภัย ตรงเวลา มีมาตรฐาน และออกแบบให้รองรับคนทุกกลุ่ม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวคือการสร้างเมืองที่คนเลือกใช้ขนส่งสาธารณะเพราะสะดวกและคุ้มค่า ไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน ก็จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของ ‘ทุกคน’ ได้อย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ล้อหมุน” มุ่งหน้า ขนส่งสาธารณะ ไร้รอยต่อ 12 จังหวัด
เดินไกล ไม่มีรถ ตั๋วแพง ปัญหาใหญ่ระบบขนส่งสาธารณะต่างจังหวัด เหตุเพราะ “ท้องถิ่น” ไม่มีบทบาท