วิกฤตผักผลไม้ปนเปื้อน พบสารเคมี 100% ยกระดับ พรบ.อาหาร ด่วน

วิกฤตผักผลไม้ปนเปื้อน พบสารเคมี 100% ยกระดับ พรบ.อาหาร ด่วน

พบข้อมูลที่น่าตกใจจากการนำเสนอผลตรวจสอบผักและผลไม้ ในงานเสวนา “พลิกบทบาทภาครัฐเพื่อระบบอาหารปลอดภัย” หลังพบผลการสุ่มตรวจ ทุเรียนผลสด 11 ตัวอย่าง ที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานถึง 100% นอกจากนี้ ข้อมูลจากการสุ่มตรวจของวุฒิสภาและไทยแพนยังชี้ให้เห็นว่า การปนเปื้อนของสารเคมีในผักและผลไม้เป็นปัญหาที่แพร่หลายอย่างยิ่ง โดยพบว่า 68% ของผลผลิตที่ผลิตในประเทศมีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ไม่เว้นแม้แต่สินค้าที่มีตรารับรองมาตรฐานจากรัฐและเอกชนก็ยังพบปัญหาถึง 57% ส่วนสินค้านำเข้าก็ไม่ต่างกัน จากการสุ่มตรวจที่ด่านเชียงของพบว่าประมาณ 70% ของสินค้ามีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน และที่ตลาดไทยก็พบการปนเปื้อนสูงถึง 60%

วิกฤตอาหาร สะท้อนกฎหมายล้าหลัง

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขคือ พ.ร.บ. อาหารฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2522) ที่มีความล้าสมัยอย่างมาก ภก.ภาณุโชติ ทองยัง จากสภาผู้บริโภค ชี้ว่ากฎหมายนี้ทำให้ อย. ไม่มีอำนาจในการเรียกคืนสินค้าจากตลาดได้อย่างเด็ดขาด ทำได้เพียงแค่ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเท่านั้น ภก.ภาณุโชติยกตัวอย่างกรณีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าจากอินโดนีเซีย ซึ่งในสิงคโปร์สามารถเรียกคืนได้ทันที แต่ประเทศไทยทำได้เพียงส่งหนังสือขอความร่วมมือ

นอกจากนี้ ภก.ภาณุโชติ ระบุว่า การเข้าถึงข้อมูลก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ โดยข้อมูลผลการตรวจสินค้าต่างๆ ที่ใช้ภาษีของประชาชน กลับถูกเก็บไว้ใน “กำปั่นทอง” ของหน่วยงานภาครัฐ ประชาชนและสื่อมวลชนไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้การรับรู้และการเฝ้าระวังภัยเป็นไปได้ยาก การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะจะช่วยให้ผู้บริโภคและสื่อสามารถร่วมกันเตือนภัยและผลักดันการแก้ไขปัญหาได้

“พ.ร.บ. อาหารฉบับประชาชนที่กำลังผลักดันอยู่จึงมุ่งเน้นการสร้างระบบเรียกคืนที่มีประสิทธิภาพ และให้หน้าที่ความรับผิดชอบนี้อยู่ที่ผู้ประกอบการโดยตรง เพื่อให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วและครอบคลุม”

ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) เรียกร้องให้ภาครัฐยกระดับความปลอดภัยทางอาหารให้เป็นนโยบายแรกของประเทศ โดยมีข้อความที่หนักแน่นว่า “ถ้าไม่ปลอดภัย เราไม่เรียกมันว่าอาหาร” และเสนอให้ผลักดัน “พ.ร.บ. อาหารฉบับประชาชน” ที่สร้างระบบเรียกคืนที่มีประสิทธิภาพและให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบโดยตรง นอกจากนี้ยังเสนอให้มีห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ณ ด่านนำเข้า เพื่อตรวจหาสารพิษได้ทันที รวมถึงควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลระบบเฝ้าระวังแบบทันท่วงที (Real-time) และเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและร่วมเฝ้าระวัง

ผู้ประกอบการแนะรัฐ จัดระเบียบ “ล้ง”

ด้าน โอภาส พิทักษ์ ที่ปรึกษาตลาดไทย สะท้อนความท้าทายของการควบคุมคุณภาพในตลาดกลางค้าส่งขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นเพียง ตลาดกลางสินค้า หรือ “Marketplace” โดยไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าเอง จนต้องเผชิญปัญหาหลักคือ การตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ที่ทำไม่ได้จริง เนื่องจากสินค้ามักผ่านมือคนกลางหลายทอด และเกษตรกรเองยังไม่รู้ว่าปลายทางต้องการความปลอดภัยระดับไหน

โดยโอภาสยังเน้นย้ำถึง อีกหนึ่งกลไกที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสินค้าผัก ผลไม้และอาหารสดที่สำคัญ แต่ถูกมองข้ามคือ “ล้ง” หรือจุดรวบรวมสินค้า ซึ่งเป็นผู้ที่รู้แหล่งที่มาของสินค้าอย่างแท้จริง แต่กลับอยู่นอกระบบการกำกับดูแลของภาครัฐ ไม่มีหน่วยงานใดดูแล “ล้ง” โดยเฉพาะในทางปฏิบัติ ทำให้เกิดช่องโหว่ในการควบคุมความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งเขาเสนอว่า หากมีการตรวจสอบและกำกับดูแลที่จุดรวบรวมสินค้าได้ จะทำให้การไล่ติดตามและแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น “การกำกับดูแล “ล้ง” จะช่วยให้การแก้ไขปัญหาปนเปื้อนทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”

น.สพ.ศักดิชญ์ อนุโลมสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการจะผลักดันให้เกษตรกรทำตามมาตรฐานอาหารปลอดภัยนั้น จำเป็นต้องพิจารณาถึง “ต้นทุนและรายได้” ของเกษตรกรด้วย โดยควรมองถึงการสร้างแรงจูงใจทางการตลาดและผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุนในมาตรฐานต่างๆ  เป็นสิ่งสำคัญ  

ด้าน สุวรรณา หลั่งน้ำสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สังคมสุขภาพ จำกัด (เลมอนฟาร์ม) เสริมว่า เกษตรกรรายย่อยสามารถทำเกษตรอินทรีย์ได้หากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการมี “ตลาดรองรับ” ที่ให้คุณค่ากับอาหารปลอดภัย รวมถึงการส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรให้ทำหน้าที่เสมือน “ล้ง” เพื่อจัดการโลจิสติกส์และควบคุมคุณภาพ

อุมารินทร์ เกตพูลทอง ตัวแทนเกษตรกร จากวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาสลิดเกษตรพัฒนา สะท้อนปัญหาว่า เกษตรกรมีความอยากที่จะพัฒนาสินค้าให้มีมาตรฐาน แต่ขาดความมั่นคงในด้านต่าง ๆ อาทิ ที่ดินและเงินทุน ทำให้ยากต่อการลงทุนในมาตรฐาน และเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยและสนับสนุนการตลาดแก่กลุ่มเกษตรกรที่ยั่งยืน  

ข้อจำกัดภาครัฐ ความท้าทายที่รอการแก้ไข

เสียงตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐร่วมสะท้อนถึงข้อจำกัดในการดำเนินการ โดย สัสสาวี ณรากร นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ กองอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  เผยว่าแม้ อย. มีบทบาทหลักในการเฝ้าระวังความปลอดภัยของผู้บริโภคด้านอาหาร โดยกำกับดูแลสถานที่ผลิต นำเข้า และจำหน่าย ตาม พ.ร.บ. อาหาร รวมถึงการออกเลข อย. และการติดตามมาตรฐานสินค้า หากสินค้านำเข้ามีความเสี่ยงจะถูกบล็อกไม่ให้เข้าประเทศ แต่ปัจจุบันประสบข้อจำกัดหลายประการทำให้ยังไม่สามารถทำงานได้เต็ม 100% ตามความคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในเรื่องของกำลังคนและอุปกรณ์ รวมถึงระบบการส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานอาจยังไม่เป็นรูปธรรม

พิทักษ์ ชายสม ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานสุขอนามัยสัตว์ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า มกอช. มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรทั้งแบบสมัครใจ (GAP) และบังคับสำหรับสินค้าสำคัญ โดยยึดหลักมาตรฐานสากลและเน้นความโปร่งใส แต่ยังคงเผชิญกับปัญหา “GAP ผี” หรือการแอบอ้างใช้เครื่องหมายรับรองที่ไม่ถูกต้อง  

เช่นเดียวกันกับ เกรียงไกร สุภโตสะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานคุณภาพสินค้าเกษตร กรมวิชาการเกษตร ระบุว่า กรมฯ มีงานวิจัย 80% และงานบริการ 20% โดยสนับสนุนการรับรอง GAP และควบคุมปัจจัยการผลิต ที่กล่าวว่า กรมฯ มีข้อจำกัดด้านบุคลากรและงบประมาณอย่างรุนแรงเช่นกัน

ด้าน สพ.หญิง คชาภรณ์ เต็มยอด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาคุณภาพเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ กรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังขาดองค์กรประเมินความเสี่ยง (Risk Assessor) ที่เป็นอิสระในระดับประเทศ  เช่นเดียวกับ ในยุโรปหรือ European Food Safety Authority (EFSA) ซึ่งมองว่ามีความสำคัญต่อการวางนโยบายในเรื่องเนื้อสัตว์สูง โดยที่ผ่านมากรมฯ พยายามสร้างมาตรฐานด้านการดูแล การฆ่าสัตว์ คุณภาพอาหารสัตว์ และโรคระบาดสัตว์ เพื่อควบคุมคุณภาพมาตรฐาน โดยมีโครงการ “ปศุสัตว์ OK” ที่มีฟาร์มเข้าร่วมกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศเพื่อรับรองมาตรฐาน 

เสริมด้วย ดร. ชุติมา ข่มวิสัย ผู้ผู้อำนวยการกองตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง กรมประมง กล่าวว่า กรมฯ มีข้อจำกัดด้าน “งบประมาณและกำลังคน” โดยเฉพาะงานสำคัญที่ถ่ายโอนไม่ได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและกรมประมงเป็นหน่วยงานเดียวที่ทำได้ และชี้ว่า อย. มอบอำนาจ (ดาบ) ให้กรมประมงดูแลเพียง 3 พิกัดเท่านั้น แต่สินค้าสำคัญอย่างฟิลเล่ปลานำเข้ายังไม่มีหน่วยงานดูแลโดยตรง

ดึงพลังสื่อ-ประชาชนหนุนขับเคลื่อน

สุนทร พฤกษพิพัฒน์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 11 กระทรวง 4 หน่วยงาน ควรเป็นเจ้าภาพหลักในการรับผิดชอบ เรื่องอาหารปลอดภัย ซึ่งเป็นกลไกที่มีอยู่แล้วและมีอำนาจครอบคลุมทุกมิติ แต่ขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง

เสียงจากตัวแทนสื่อภาคประชาชนและอินฟลูเอนเซอร์ นพ.โฆษิต เอี้ยวฉาย หรือหมอเบนซ์ และ พศินทัศน์ สินโสภณเกษม หรือ “กัปตันคนเนิร์ด” มองถึงบทบาทของผู้บริโภคและการขับเคลื่อนจากภาคประชาชน หากผู้บริโภคตระหนักและเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดภัยมากขึ้น ก็จะส่งผลย้อนกลับไปถึงผู้ผลิตให้ปรับตัว

“หากฝ่ายการเมืองหยิบยกเรื่องอาหารปลอดภัยมาเป็นนโยบาย จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากทุกคนบริโภคอาหารทุกวัน” พศินทัศน์ กล่าว

ชี้ข้อมูลชวนสะดุ้ง พบปนเปื้อนผักผลไม้พุ่งเกือบ 100%

สำหรับการเสวนา “ร่วมคิด ร่วมสร้าง ระบบอาหารปลอดภัย จากรัฐสภาสู่ประชาชน” ที่จัดขึ้น โดยคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับภาคีเครือข่าย ยังเสนอข้อมูลการตรวจสอบของวุฒิสภาและไทยแพนที่ลงพื้นที่ตรวจด่านชายแดน จุดรับผักผลไม้จากจีนและประเทศอาเซียน รวมถึงในตลาดต่างๆ พบว่า ตัวเลขการปนเปื้อนสารเคมีมีความน่าสนใจและน่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2567 ไทยแพนและมูลนิธิผู้บริโภคได้สุ่มตรวจองุ่นไซมัสคัส และพบว่า ประมาณ 96% มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ต่อมาในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน การสุ่มตรวจผักผลไม้นำเข้าที่จำหน่ายทั้งในห้างและตลาดค้าส่งและเทศบาลใน 12 จังหวัด พบว่า ประมาณ 73% มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่คณะกรรมาธิการลงพื้นที่ด่านเชียง จัดสุ่มตัวอย่างสินค้า พบว่า ประมาณ 70% ของสินค้าที่ด่านมีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน และเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม การลงพื้นที่ตลาดไทยพบว่า ตัวอย่างที่มาจากต่างประเทศประมาณ 60% มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน

นอกจากนี้ ปัญหาอาหารไม่ปลอดภัยยังไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสินค้านำเข้าเท่านั้น ข้อมูลจากไทยแพนและภาคีเครือข่ายเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2567 ยังชี้ว่า 68% ของผลผลิตที่ผลิตในประเทศ พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน โดยแม้แต่สินค้าที่มีตรารับรองมาตรฐานจากหน่วยงานรัฐและเอกชน ก็ยังพบปัญหาถึง 57% สิ่งที่สร้างความกังวลยิ่งกว่าคือ ผลการสุ่มตรวจทุเรียนผลสดในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่เคยมีการเผยแพร่มาก่อน พบว่า ทุเรียนผลสด 11 ตัวอย่าง มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานถึง 100% แต่นอกจากผักและผลไม้แล้ว ยังมีการตรวจพบยาปฏิชีวนะตกค้างในเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อปัญหาเชื้อดื้อยาที่เป็นปัญหาระดับโลก

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง