Ribbon

ขาด “ระบบตรวจรับทรัพย์สิน” : จุดอ่อน คืนสัมปทานสีเขียวปี 72

Getting your Trinity Audio player ready...

ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์กฎหมายศรีปทุม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ประชุมร่วมกับ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค และเจ้าหน้าที่สภาผู้บริโภค เพื่อเสนอรายงานการวิจัย “โครงการศึกษารูปแบบและเงื่อนไขการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า” และคู่มือการส่งมอบสัมปทานกลับสู่หน่วยงานภาครัฐ โดยข้อมูลส่วนหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการส่งมอบและการบริหารจัดการสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลังหมดสัมปทานในปี 2572 ระบุว่า “ประเทศไทยยังไม่มีกระบวนการตรวจรับทรัพย์สินก่อนหมดสัญญาสัมปทานอย่างเป็นระบบ” ทั้งที่ควรเป็นเงื่อนไขพื้นฐานก่อนการพิจารณาต่อสัญญา

สภาผู้บริโภค ร่วมกับศูนย์กฎหมายศรีปทุม มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลังสิ้นสุดสัญญาในปี 2572 โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะต่อแนวทางการสนับสนุนมาตรการการปรับปรุงสัญญาสัมปทานสายหลักของระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรมของผู้บริโภค โดยสายสีเขียว ถือเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของไทย ที่ให้บริการตั้งแต่ปี 2542 ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี เงินลงทุนรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท

เร่งแก้ไข ระบบตรวจรับทรัพย์สิน ก่อนต่อสัญญา

ผศ.ดร.ช้องนาง วิพุธานุพงษ์

ผศ.ดร.ช้องนาง วิพุธานุพงษ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ระบุว่า จากผลการศึกษาชี้ว่า การเตรียมความพร้อมล่วงหน้า การประเมินสภาพสินทรัพย์ และการตรวจสอบเอกสารที่ครบถ้วน เป็น “หัวใจสำคัญ” ที่จะทำให้การสิ้นสุดสัมปทานเป็นไปอย่างโปร่งใสและปกป้องประโยชน์สาธารณะ

ทั้งนี้ กระบวนการส่งมอบทรัพย์สินควรเริ่มจัดทำล่วงหน้า 3 – 7 ปีก่อนหมดสัญญา พร้อมการตรวจทานสัญญา การประเมินสภาพสินทรัพย์ และการจัดทำทะเบียนสินทรัพย์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้รัฐทราบสภาพที่แท้จริงของทรัพย์สินก่อนตัดสินใจว่าควรต่อสัญญา หรือให้เอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินงานแทน

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาโครงการสัมปทานหลายโครงการในไทย รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ไม่ได้มีการตรวจรับสินทรัพย์อย่างครบถ้วนก่อนต่อสัญญา ส่งผลให้รัฐไม่มีข้อมูลเพียงพอทั้งในเรื่องสภาพการใช้งานจริงของระบบและโครงสร้างพื้นฐาน ค่าเสื่อมสภาพและภาระซ่อมบำรุงที่ถูกเลื่อนมาจากช่วงท้ายสัญญา รวมถึงความคุ้มค่าในการต่อสัญญาเทียบกับการเปิดประมูลใหม่

ทั้งที่การตรวจรับทรัพย์สินก่อนสิ้นสุดสัญญาเป็นมาตรฐานที่ประเทศพัฒนาแล้วดำเนินการ และเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงด้านกฎหมาย การเงิน และคุณภาพการบริการสาธารณะ

ชงสร้างมาตรฐานกลาง “ระบบตรวจรับก่อนต่อสัมปทาน”

ผศ.ดร.ช้องนาง กล่าวอีกว่า การตรวจรับทรัพย์สินเป็นขั้นตอนที่จำเป็นด้วย 3 เหตุผลหลัก

1) เพื่อประเมินสภาพสินทรัพย์จริง กระบวนการสำรวจสภาพสินทรัพย์ (Condition Survey) จะช่วยให้รัฐทราบว่า โครงสร้างพื้นฐาน ระบบ และอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ในสภาพที่กำหนดในสัญญาหรือไม่ เช่น การบำรุงรักษาที่คั่งค้าง การเสื่อมสภาพ หรือการตกรุ่นทางเทคโนโลยี

2) เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขก่อนส่งมอบ หากพบข้อบกพร่อง ผู้รับสัมปทานต้องจัดทำ “แผนการเยียวยา” เพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงให้กลับมาอยู่ในสภาพมีมาตรฐานก่อนโอนกลับรัฐ

3) เพื่อป้องกันรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรรับในหลายประเทศ มีกลไกให้เอกชนจัดตั้งกองทุนสำรองเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายซ่อมแซมช่วงท้ายสัญญา แต่ในไทยยังไม่มีกลไกนี้อย่างเป็นระบบ ทำให้ความเสื่อมสภาพของทรัพย์สินอาจตกเป็นภาระงบประมาณของรัฐในอนาคต        สำหรับข้อเสนอแนะที่ได้จากงานวิจัยดังกล่าว คือ การเสนอให้รัฐบาลจัดทำมาตรฐานกลางสำหรับการตรวจรับทรัพย์สินก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน โดยยึดหลักความโปร่งใส การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ การบันทึกข้อมูลเป็นระบบ และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ รวมถึงกำหนดให้การต่อสัญญาใหม่ ต้องมีรายงานตรวจรับทรัพย์สินเป็นเงื่อนไขสำคัญ เพื่อให้รัฐสามารถประเมินความคุ้มค่าและป้องกันการตัดสินใจที่อาจสร้างภาระให้ประชาชนในระยะยาว

ทั้งนี้ ภาพรวมของการศึกษาชี้ชัดว่า การตรวจรับทรัพย์สินก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน คือกลไกสำคัญที่ประเทศไทยควรนำมาใช้เป็นมาตรฐานทันที โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เป็นหัวใจของระบบขนส่งมวลชน การขาดขั้นตอนนี้เท่ากับรัฐไม่มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ ซึ่งอาจกระทบงบประมาณ คุณภาพบริการ และภาระของผู้บริโภคในระยะยาว

เตรียมส่งต่อคู่มือให้ กทม. – หน่วยงานรัฐ

สารี อ๋องสมหวัง

ทางด้าน สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุว่า ข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อหน่วยงานรัฐ หากไม่มีขั้นตอนตรวจรับหรือประเมินสภาพทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ รัฐมีความเสี่ยงที่จะยอมรับทรัพย์สินในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ พร้อมทั้งต้องเผชิญภาระซ่อมบำรุงที่ควรเป็นหน้าที่ของผู้รับสัมปทานเดิม

“คู่มือนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางกรอบการพูดคุยเรื่องการเปลี่ยนเจ้าของหรือการต่อสัญญาสัมปทาน เพราะหากมีการเปลี่ยนโดยไม่มีกระบวนการตรวจรับที่ชัดเจน รัฐจะเสียเปรียบ และท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การเสียประโยชน์ของผู้บริโภค” สารี ระบุ

เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานรัฐจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญเฉพาะการเจรจาต่อสัญญาสัมปทาน แต่กลับไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญว่า ทรัพย์สินทั้งหมดต้องกลับคืนเป็นของรัฐเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้มีโอกาสการหารือกับ กทม. และได้เกริ่นเรื่องผลการศึกษา รวมถึงคู่มือให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ฟัง

ทั้งนี้ มองว่าคู่มือฉบับนี้จะสามารถช่วยสร้างมาตรฐานในการจัดการทรัพย์สินสาธารณะหลังหมดสัญญา ทำให้รัฐสามารถนำทรัพย์สินไปใช้สร้างประโยชน์ต่อได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกจำกัดจากความล่าช้าหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลทรัพย์สินเดิม

ขาด "ระบบตรวจรับทรัพย์สิน" : จุดอ่อน คืนสัมปทานสีเขียวปี 72

เปิดงานวิจัย รถไฟฟ้าสายสีเขียว 20 บาท คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

แนะ กทม. แก้ปมสายสีเขียว รื้อสัญญาล่วงหน้า เร่งทำสัญญาใหม่ ก่อนสายเกินแก้