Ribbon

เส้นทาง “บัตรทอง” จากความทุกข์ของผู้ป่วย สู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

เส้นทาง "บัตรทอง" จากความทุกข์ของผู้ป่วย สู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บัตรทอง” ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มีรากฐานมาจากความทุกข์ของผู้ป่วยที่เผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข การริเริ่มระบบนี้เป็นการรวมพลังครั้งสำคัญของภาคประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อผลักดันให้คนไทยทุกคนได้รับสิทธิในการรักษาอย่างเท่าเทียมและมีมาตรฐานเดียวกัน

รากฐานจากความทุกข์ของผู้ป่วยสู่แรงขับเคลื่อนหลัก

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า การริเริ่มระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “บัตรทอง” ไม่ได้เกิดขึ้นจากนโยบายภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากงานวิจัยที่ลงไปสัมผัสความทุกข์จริงของผู้ป่วยในระบบสาธารณสุขไทย ความเจ็บปวด ความไม่เท่าเทียม และภาระค่าใช้จ่ายที่ประชาชนจำนวนมากไม่อาจแบกรับได้ กลายเป็นแรงผลักสำคัญให้ภาคประชาชนลุกขึ้นมารวมพลังกันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

สารี ได้ยกตัวอย่าง กรณีศึกษาที่สร้างความสั่นสะเทือน และเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้ คือเรื่องราวของผู้สูงอายุที่ต้องถูกนำเลนส์ตาออกจากการผ่าตัดต้อกระจกเพราะไม่มีเงินเพียงพอจ่ายค่าเลนส์ ความทุกข์ที่เป็นรูปธรรมนี้เองที่นำไปสู่การริเริ่มแนวคิดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ทั้งนี้ระบบบัตรทองเกิดจากการทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย นำโดยบุคลากรสำคัญอย่าง นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์ และเครือข่ายภาคประชาชนกว่า 11 เครือข่าย ที่ร่วมกันเก็บข้อมูลวิจัย พร้อมเดินหน้ารวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างกฎหมาย

เกือบ 8 หมื่นรายชื่อ ผลักดันสิทธิการรักษา

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2545 การเสนอร่างกฎหมายจากประชาชนต้องใช้มากถึง 50,000 รายชื่อ ต่างจากปัจจุบันที่ใช้เพียง 10,000 รายชื่อ การรวบรวมครั้งแรกได้ 57,000 รายชื่อ แต่หลายส่วนถูกตัดสิทธิออกเนื่องจากผู้ลงชื่อไม่ได้ไปเลือกตั้ง ทำให้ต้องหาใหม่และรวบรวมได้จำนวนเกือบ 80,000 รายชื่อ จึงสามารถผ่านตามเกณฑ์กฎหมาย ถือเป็นการแสดงพลังของประชาชนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์และเป็นร่างที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและมีตัวแทนจากภาคประชาชนที่เหมาะสม

“แม้ว่ารัฐบาลในขณะนั้นจะไม่ได้รอการเสนอกฎหมายจากภาคประชาชน แต่กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสามารถเกิดขึ้นได้ในที่สุด โดยมีรากฐานที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่ม” สารีกล่าว

ทั้งนี้ ภาคประชาชนยังมีบทบาทสำคัญอย่างต่อเนื่องในการกำกับดูแล โดยมีตัวแทนอยู่ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพบริการสาธารณสุข ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมีส่วนร่วมทั้งในการผลักดันให้กฎหมายเกิดขึ้นและในการกำกับดูแลให้ระบบดำเนินไปตามหลักการที่ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการตามความจำเป็นของผู้ป่วย โดยในปัจจุบันผ่านมาเป็นเวลา 23 ปีที่มีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

ย้ำจุดยืน คัดค้านระบบร่วมจ่าย

นอกจากนี้ สารียังอธิบายถึงประเด็น “ระบบร่วมจ่าย” ที่ภาคประชาชนยืนยันมาตลอดว่า ไม่ควรเกิดขึ้นที่จุดบริการ เพราะจะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำในระบบรักษาพยาบาล ผู้ป่วยจำนวนมากไม่มีอำนาจต่อรอง และในยามเจ็บป่วย ทุกคนต่างต้องการการรักษาที่ดีที่สุด ไม่ใช่การถูกแบ่งแยกตามจำนวนเงินที่มีในกระเป๋า

หากโรงพยาบาลเรียกเก็บเงินร่วมจ่าย แต่ผู้ป่วยไม่มีเงินพอ ผลลัพธ์คืออาจต้องเลื่อนการรักษาหรือผ่าตัดรอจนกว่าจะหาเงินได้ นั่นหมายถึงโอกาสรอดที่ลดลง และเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ยิ่งสำหรับผู้ที่มีภาระค่าใช้จ่ายมากอยู่แล้ว เช่น ค่าเดินทาง ค่าคนดูแล โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ระบบขนส่งไม่เอื้อต่อการไปโรงพยาบาล การเพิ่มภาระร่วมจ่ายจึงเหมือนซ้ำเติมประชาชนให้หนักขึ้นกว่าเดิม

สารีชี้ว่า การให้มีการร่วมจ่าย ณ จุดบริการเปรียบเสมือนการสร้าง “ประตูเงินประตูทอง” ในระบบสุขภาพ ผู้ที่มีเงินก็เดินผ่านประตูไปรับการรักษาที่ดีกว่า ได้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพกว่า ขณะที่คนไม่มีเงินถูกจำกัดให้ได้รับมาตรฐานที่ต่ำลง หรือได้รับการรักษาล่าช้า ซึ่งสวนทางกับหัวใจสำคัญของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่กำหนดชัดเจนว่า เมื่อเจ็บป่วย ทุกคนต้องได้รับการรักษาตามความจำเป็น ด้วยมาตรฐานเดียวกันอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม แนวทางในการจัดการในกรณีที่ผู้ป่วยมีเงินไม่เพียงพอควรมีระบบเก็บเงินผ่านระบบภาษี เพื่อให้ได้มาตรฐานการรักษาแบบเหมือนกัน ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยที่ต้องการผ่าตัดเข่าและอยากได้ข้อเข่าแบบพับได้ที่มีคุณภาพดีและต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ตามหลักการทุกคนที่ผ่าตัดข้อเข่าควรได้รับบริการแบบเท่าเทียมและไม่ควรเก็บเพิ่ม โดยรัฐบาลท้องถิ่นหรือรัฐบาลกลางสามารถเก็บจากภาษีสุขภาพมาใช้ได้ เช่น เก็บภาษีจากสิ่งที่สร้างปัญหาให้แก่สุขภาพ เช่น น้ำตาล ความเค็ม บุหรี่ แอลกอฮอล์ เป็นต้น ดังนั้นการใช้แนวทางระบบร่วมจ่ายจากการจ่ายของภาคประชาชนในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติจึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง สำหรับนโยบายที่ดีควรดำเนินการแบบทั่วไปและไม่ควรเลือกกลุ่ม เพราะทำให้คนด้อยโอกาสจะยิ่งเข้าถึงได้อย่างยากลำบากมากขึ้น

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง