Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภคประกาศเดินหน้าฟ้องคดีกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง หลังรื้อถอนอาคารสูง “ดิเอทัส” ซอยร่วมฤดีล่าช้ากว่ากำหนด ยาวนานกว่า 10 ปี สำนักงานเขตปทุมวันไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครอง ขณะที่กทม.ยังเงียบ
จากกรณีที่สภาผู้บริโภคได้ส่งรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภค เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง ในการรื้อถอนโครงการ “ดิเอทัส” (The Aetas) อาคารสูงในซอยร่วมฤดี หลังศาลมีคำสั่งมานานกว่า 10 ปี แต่ยังไม่มีการดำเนินการจนถึงปัจจุบัน สภาผู้บริโภคจึงเตรียมศึกษาข้อกฎหมายเพื่อฟ้องคดีเพิ่ม

พรพรหม โอกุชิ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย สภาผู้บริโภค ให้ข้อมูลว่า สำนักงานเขตปทุมวันมีหนังสือตอบกลับรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคมายังสภาผู้บริโภค ลงวันที่ 11 กันยายน 2568 โดยระบุว่า สำนักงานเขตฯ ได้นำบริษัทผู้รับจ้างที่จะรื้อถอนอาคาร เข้าพื้นที่สำรวจและกำหนดแนวกั้นรั้วมาตรการป้องกันรอบโครงการ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 และจะรายงานแนวเขตรั้วให้ทราบอีกครั้ง โดยอ้างเหตุผลที่ล่าช้า เนื่องจากเจ้าของอาคารแจ้งว่าได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และต้องตรวจเอกสารและทรัพย์สินเพิ่มเติม
ทั้งนี้ หนังสือของสำนักงานเขตปทุมวันที่ตอบกลับมายังสภาผู้บริโภคนั้น มีเนื้อหาบางส่วนที่ขัดแย้งกับหนังสือของศาลปกครอง ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ที่ระบุว่า บริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัท ทับทิมทร จำกัด จัดทำบัญชีทรัพย์สินเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการจัดทำรูปเล่มรายงานบัญชีทรัพย์สิน แต่กลับอ้างว่าขอขยายเวลาตรวจสอบเอกสารและทรัพย์สินเพิ่มเติม แสดงว่าการตรวจสอบยังไม่แล้วเสร็จ ตามช่วงเวลาที่เคยแจ้งศาลปกครองไว้ก่อนหน้านี้
พรพรหม กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องเนื้อหาในหนังสือแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องระยะเวลาการตอบกลับที่ล่าช้า โดยสภาผู้บริโภคได้ส่งรายงานการกระทำและละเลยการกระทำไปให้สำนักงานเขตปทุมวันและ กทม. เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 โดยแจ้งให้ตอบกลับหนังสือฉบับดังกล่าวภายใน 60 วันนับจากที่ได้รับหนังสือ ตามอำนาจมาตรา 14 (3) แห่งพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 แต่ก็ยังไม่มีหนังสือตอบกลับ จนกระทั่งวันที่ 13 สิงหาคม 2568 สภาผู้บริโภคได้ทำหนังสือติดตามความคืบหน้าไปยังสำนักงานเขตปทุมวัน และกทม. อีกครั้งหนึ่ง สำนักงานเขตปทุมวันจึงมีหนังสือตอบกลับมาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ขณะที่ กทม. ยังไม่มีหนังสือตอบกลับแต่อย่างใด
สำหรับความคืบหน้ากรณีการรื้อถอนอาคารสูงในซอยร่วมฤดี โครงการดิเอทัสนั้น สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าฟ้องคดีกับหน่วยงานที่เกียวข้องเพิ่มเติม โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายสภาผู้บริโภค ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าจะประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้ทราบต่อไป
กรณีโครงการดิเอทัส ถือเป็นมหากาพย์การต่อสู้ที่ยาวนานเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของผู้บริโภค นำโดยนายแพทย์สงคราม ทรัพย์เจริญ (ปัจจุบันเสียชีวิต) หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบ และไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้ศาลปกครองจะมีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวแล้วตั้งแต่ปี 2557 ผ่านมา 10 ปี โครงการนี้ยังยืนท้าทายคำพิพากษา ถือเป็นอีกกรณีที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
เนื้อหาในหนังสือของสำนักงานเขตปทุมวัน มีใจความดังนี้
สำนักงานเขตปทุมวันได้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โดยใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อจัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินของอาคารทั้งสองแห่งที่เกี่ยวข้อง พร้อมแจ้งให้บริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัท ทับทิมทร จำกัด ตรวจสอบและส่งมอบพื้นที่ภายใน 30 วัน เพื่อให้ผู้รับจ้างเข้ารื้อถอนอาคารตามคำพิพากษา
ต่อมาทั้ง 2 บริษัทได้ขอขยายเวลาการตรวจสอบเอกสาร เนื่องจากมีจำนวนมากและขาดบุคลากร อีกทั้งอาคารยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้น สำนักงานเขตปทุมวันพิจารณาแล้วเห็นสมควร จึงอนุญาตให้ขยายเวลาการตรวจสอบให้เพียงพอและเหมาะสม
นอกจากนี้ สำนักงานเขตปทุมวันได้แจ้งว่าได้นำผู้รับจ้างเข้าพื้นที่สำรวจและกำหนดแนวกั้นรั้วมาตรการป้องกันรอบโครงการ ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจแล้วเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 และจะรายงานแนวเขตรั้วให้ทราบภายหลัง ทั้งนี้ ความคืบหน้าทั้งหมดได้ถูกรายงานต่อสำนักงานบังคับคดีปกครองและสำนักงานศาลปกครองอย่างต่อเนื่อง
ส่วนเนื้อหาในหนังสือของศาลปกครองสูงสุด มีใจความดังนี้
คดีนี้สำนักงานเขตปทุมวันในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ออกคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้ายอาคารตามมาตรา 40 (1) คำสั่งมีให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคาร หรือบริเวณอาคารตามมาตรา 40 (2) และคำสั่งให้ดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร หรือดำเนินการแจ้งตามมาตรา 39 ทวิ ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 กับบริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัท ทับทิมทร จำกัด
แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าทั้ง 2 บริษัทไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นดังกล่าว สำนักงานเขตฯ จึงได้ออกคำสั่งให้ทั้ง 2 บริษัทรื้อถอนอาคารพิพาทตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 แต่ทั้ง 2 บริษัทยังคงฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยไม่รื้อถอนอาคารพิพาท สำนักงานเขตจึงได้เข้าการรื้อถอนอาคารพิพาทตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าว
โดยปัจจุบัน (เดือนพฤศจิกายน 2567) บริษัทรื้อถอนได้เข้าพื้นที่เพื่อสำรวจทรัพย์สินภายในอาคารพิพาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำรูปเล่มบัญชีทรัพย์สินภายในอาคารพิพาทดังกล่าวเพื่อดำเนินการตามกระบวนการรื้อถอนอาคารพิพาทตามมาตรา 43 (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
10 ปี คดีดิเอทัส ร่วมฤดี อาคารสูงผิดกฎหมาย ยังยืนท้าทายคำพิพากษา
หลังคำพิพากษา 10 ปี จี้กทม. รื้อดิเอทัสขีดเส้นตาย 15 วัน ก่อนฟ้องคดี
10 ปีไม่คืบหน้า!‘สภาผู้บริโภค’จี้‘กทม.’รื้อถอนอาคาร‘ดิเอทัส’ ตามคำพิพากษา‘ศาลปค.สูงสุด’