
จากวันซ่อมสากล สู่การผลักดันกฎหมาย “สิทธิในการซ่อม (Right to Repair)” และ เลมอน ลอว์ (Lemon Law) กำลังกลายเป็นพลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดขยะ และคืนอำนาจให้ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกอย่างแท้จริง
ผู้บริโภคอาจเคยประสบปัญหาในการซื้อโทรศัพท์ใหม่ที่เพิ่งออกวางขายได้ไม่ถึงเดือน แต่กลับพบหน้าจอกลับขึ้นเส้น รีสตาร์ทเอง และเมื่อส่งศูนย์ซ่อมกลับถูกปฏิเสธว่าไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาหลายพันบาท แต่ใช้ไม่กี่สัปดาห์เริ่มรวนและสุดท้ายต้องซื้อใหม่ เป็นสถานการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของผู้บริโภคไทย และไม่ควรเป็นเพียงภาระของคนซื้อ แต่คือสัญญาณของช่องว่างทางกฎหมายที่ยังไม่คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคได้อย่างเพียงพอ สภาผู้บริโภคได้เสนอร่างพระราชบัญญัติความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. …. หรือ “เลมอน ลอว์ (Lemon Law)” เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากสินค้าที่มีความชำรุดบกพร่องตั้งแต่แรกซื้อ พร้อมชูสิทธิในการซ่อม (Right to Repair) เป็นอีกกลไกคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมเท่าทันสากล
“สิทธิในการซ่อม” จุดเริ่มต้นความยุติธรรมของผู้บริโภค
“Lemon Law” หรือกฎหมายความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า เป็นข้อเสนอสำคัญที่สภาผู้บริโภคผลักดัน เพื่อให้ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าใหม่แต่พบปัญหาความบกพร่องตั้งแต่ต้น มีสิทธิเรียกร้องความรับผิดชอบได้อย่างเป็นธรรม
นิสรา แก้วสุข ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านสินค้าและบริการทั่วไป สภาผู้บริโภค กล่าวในวันซ่อมสากล (International Repair Day) เมื่อ 18 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ที่สามของเดือนตุลาคมของทุกปี กับหัวข้อเสวนา “สิทธิในการซ่อม สำคัญไฉน” ที่จัดโดย ชุมชนส่งเสริมวัฒนธรรมการซ่อม (Repair Community Thailand: RCTH) ร่วมกับสภาผู้บริโภค และ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation Thailand: EJF) เมื่อ 18 ตุลาคม 2568 เพื่อผลักดันให้สังคมไทยตระหนักถึงคุณค่าของการซ่อม ทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสิทธิผู้บริโภค ดังนั้นผู้บริโภคจึงไม่ควรถูกบังคับให้ซื้อสินค้าใหม่ เพียงเพราะไม่สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการได้ ทั้งที่สามารถเลือกซ่อมแซมในราคาย่อมเยาหรือเข้าถึงได้ ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งาน
ทั้งนี้ในเวทีเสวนาข้างต้น ชุมชนส่งเสริมวัฒนธรรมการซ่อม ยังได้เปิดตัวอาร์-สกอร์ (R-Score : Repairability Score) หรือเครื่องมือวัดคะแนนความสามารถในการซ่อมของสินค้าเพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่าสินค้าใดซ่อมง่ายหรือซ่อมยากก่อนตัดสินใจซื้อ ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการคืนอำนาจในการเลือกให้กับผู้บริโภค รวมถึง วนวน (WonWon) แอปพลิเคชันที่รวบรวมร้านซ่อมเสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา กระเป๋า และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมให้เกิดการวนใช้สินค้าอย่างคุ้มค่าและวนกำไรสู่ชุมชน

เมื่อกฎหมายจับมือกับการเปลี่ยนแปลง
สำหรับการผลักดันร่างพระราชบัญญัติความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. …. หรือ “เลมอน ลอว์ (Lemon Law)” สภาผู้บริโภค ได้รวบรวมรายชื่อผู้ที่สนับสนุนกว่า 23,705 คน เสนอร่างฯ ดังกล่าว ให้กับสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2567 เพื่อให้สิทธิของผู้บริโภคไทยมีเสียงและมีพลังทางกฎหมายอย่างแท้จริง สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎหมาย Lemon Law คือการกำหนดให้ผู้บริโภคมีสิทธิ ขอซ่อม เปลี่ยน ลดราคา หรือยกเลิกสัญญาซื้อขายได้ หากพบว่าสินค้ามีความชำรุดภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่น ภายใน 6 เดือนหลังการซื้อสำหรับสินค้าทั่วไป และ 12 เดือนสำหรับรถยนต์ ทั้งยังเปิดทางให้ผู้บริโภคสามารถปฏิเสธการชำระค่างวดได้ในกรณีสินค้ามีปัญหาโดยไม่ต้องรอให้คดีขึ้นสู่ศาล กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากผู้บริโภคซื้อสินค้าใหม่ที่พังตั้งแต่วันแรก ควรมีสิทธิได้รับความยุติธรรม โดยไม่ต้องตกอยู่ในภาวะเสียเงิน เสียเวลา และเสียโอกาสจากการใช้สินค้าไม่ได้จริง
ทั้งนี้ความสำคัญของ สิทธิในการซ่อมและร่างกฎหมาย เลมอน ลอว์ (Lemon Law) คือสองแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง เพราะทั้งสองแนวคิดต่างยืนอยู่บนหลักเดียวกัน คือการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและสร้างความเป็นธรรมให้ผู้บริโภค การซ่อมและการรับผิดชอบต่อสินค้าที่มีความชำรุดตั้งแต่ต้น ไม่เพียงช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดการใช้ทรัพยากรใหม่ แต่ยังสะท้อนระบบเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งผู้บริโภคไว้ข้างหลัง
ขณะนี้แนวคิดสิทธิในการซ่อม (Right to Repair) กำลังเป็นกระแสที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับวัฒนธรรมใช้แล้วทิ้งที่เกิดจากกลยุทธ์การออกแบบให้หมดอายุเร็ว (Planned Obsolescence) สินค้าหลายประเภทตั้งใจให้ซ่อมยาก หรือซ่อมไม่ได้ เช่น การใช้น็อตเฉพาะหรือกาวพิเศษ รวมถึงการตั้งราคาค่าซ่อมสูงจนไม่คุ้ม การปิดกั้นข้อมูลวิธีซ่อม และการยุติการอัปเดตซอฟต์แวร์ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อใหม่อย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งเพิ่มขยะและการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองและสร้างภาระทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคให้สามารถซ่อมสินค้าได้ง่ายขึ้น ผู้ผลิตต้องจัดหาอะไหล่ให้มีจำหน่ายอย่างน้อย 7 ปี และต้องสนับสนุนการอัปเดตซอฟต์แวร์ต่อเนื่อง พร้อมกำหนดระยะเวลารับประกันขั้นต่ำ 2 ปี เพื่อให้สินค้ามีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงยกระดับคุณภาพสินค้า แต่ยังสร้างมาตรฐานความโปร่งใสให้กับตลาด
ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของการผลักดัน Lemon Law ในประเทศไทย เพื่อให้ผู้บริโภคไทยได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกับต่างประเทศ และเพื่อให้สิทธิในการซ่อมไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงสิ่งแวดล้อม แต่เป็นสิทธิทางกฎหมายที่คุ้มครองผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ร่วมกันซ่อมระบบ คืนความเป็นธรรมให้ผู้บริโภค
สภาผู้บริโภคเชื่อว่าการคุ้มครองสิทธิของประชาชนไม่ควรหยุดอยู่ที่คำว่าร้องเรียน แต่ต้องพัฒนาเป็นกลไกทางกฎหมายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง โดยสภาผู้บริโภคอยู่ระหว่างการเปิดรับข้อมูลผ่านแบบสอบถามเพื่อรวบรวมประสบการณ์จากผู้บริโภคทั่วประเทศ ผ่านลิงก์กูเกิ้ล ฟอร์ม (Google Form) https://forms.gle/LpHiiwxNRA1kL1Ms9 เพื่อนำมาวิเคราะห์และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในการผลักดันกฎหมาย Lemon Law ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วน ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้บริโภค ร่วมมือกัน ซ่อมระบบที่ยังไม่เป็นธรรม ให้กลายเป็นระบบที่คุ้มครองคนทุกคนอย่างแท้จริง เพราะเมื่อกฎหมายเดินหน้าเคียงข้างการเปลี่ยนแปลง ทำให้ได้เห็นสังคมที่ทั้งยั่งยืน โปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกคน
สำหรับการจัดงานวันซ่อมสากลอาจจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง แต่สิทธิในการซ่อมและสิทธิในการได้รับสินค้าที่มีคุณภาพควรเกิดขึ้นในทุกวันของการบริโภค ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงเห็นว่ากฎหมาย Lemon Law คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะทำให้สิทธิของผู้บริโภคไทยได้รับความคุ้มครองอย่างแท้จริง
 
  
   



