
สภาผู้บริโภคย้ำ ไม่คัดค้านเทคโนโลยี แต่เรียกร้อง “ทบทวน” ประกาศ เทคโนโลยีจีโนม หวั่นเสี่ยงปนเปื้อนพันธุ์พื้นเมือง กระทบสุขภาพ พร้อมชี้ ประกาศฉบับนี้อาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 77
ในขณะที่กระทรวงเกษตร และสหการณ์ กำลังเดินหน้าสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมในพันธ์พืช ด้วยการออก ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567 เมื่อเร็ว ๆ นี้โดยอ้างว่าเป็นความพยายามเพื่อพัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณภาพ แข่งขันได้ในตลาดโลก และยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้มีความปลอดภัยเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ
แต่กลุ่มภาคประชาชนที่มองเห็นว่าเทคโนโลยีนี้ แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่มีความเสี่ยงที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศแหล่งผลิตอาหาร เนื่องจากจีโนมอาจปนเปื้อนเข้าไปทำลายพันธ์พืชพื้นเมือง มีผลต่อสุขภาพของคนในประเทศ กระทบตลาดส่งออกพืชออแกนิคที่กำลังทำรายได้เข้าประเทศ และการออกประกาศนี้อาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 77
เทคโนโลยีจีโนม คืออะไร
ในเวที “นำเสนอรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันมีผลกระทบต่อสิทธิผู้บริโภคของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567” เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมาซึ่งจัดโดยสภาผู้บริโภค ปรกชล อู๋ทรัพย์ อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์ ได้อธิบายถึง เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing) ว่าเป็นเทคนิคระดับโมเลกุลที่สามารถแก้ไขลำดับดีเอ็นเอในเซลล์สิ่งมีชีวิตได้อย่างเฉพาะเจาะจง โดยใช้ระบบเอนไซม์หรือเทคนิคชี้เป้าอย่าง *Site-Directed Nuclease (SDN) ซึ่งแบ่งออกเป็น SDN1, SDN2 และ SDN3 ซึ่งเป็นการจัดระดับความซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีนี้จะถูกมองว่าล้ำหน้า แต่ก็ยังมีความเสี่ยง เช่น การกลายพันธุ์โดยไม่ตั้งใจ (off-target effect) ที่อาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
6 ข้อกังวลต่อ เทคโนโลยีจีโนม
พร้อมเน้นย้ำข้อกังวล 6 ประการ เริ่มจาก นิยามในประกาศของไทยที่ขัดแย้งกับพิธีสารคาร์ตาเฮนา ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยพิธีสารนี้ให้ความสำคัญกับการควบคุมความเสี่ยง การติดฉลาก และการมีส่วนร่วมของสาธารณะ
นอกจากนี้ในประเด็นที่ทางกระทรวงฯ โดยนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2567 ว่ารัฐสภาพยุโรป มีมติรองรับเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมหรือเทคโนโลยีจีโนมแบบใหม่ สงผลให้พืชที่ปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีนี้มีความปลอดภัยสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่จัดเป็นพืช GMOs และจะถูกพิจารณาเช่นเดียวกับพืชที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์แบบปกติ ไม่ใช้เกฎหมายและหลักเกณฑ์เดียวกับ GMOs อีกต่อไป เป็นการกล่าวอ้างที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เนื่องจากระบวนการในสหภาพยุโรปยังไม่แล้วเสร็จและ อยู่เพียงในขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเท่านั้น และยังไม่มีมติเห็นชอบในระดับสุดท้าย
ประเด็นต่อมา คือ การอ้างถึงความปลอดภัยโดยไม่มีระบบประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมได้ทันที โดยไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการติดตามผลหรือมาตรการป้องกัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในประเด็นเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ มองว่าประเทศไทยยังขาดความพร้อมของประเทศไทยในการตรวจสอบหรือระบุสิ่งมีชีวิตจากจีโนม ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการใช้หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยไม่สามารถควบคุมย้อนกลับได้
ข้อกังวลอีกข้อคือ ความไม่ยอมรับจากระบบเกษตรอินทรีย์ระดับสากล ซึ่งหากเกิดการปนเปื้อนทางพันธุกรรม ย่อมกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรรายย่อยและอุตสาหกรรมอาหารปลอดภัย และยังอาจส่งผลต่อการส่งออกสินค้าอินทรีย์ไทยไปยังต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ยังมีข้อกังวลว่า การปล่อยสิ่งมีชีวิตที่ปรับแต่งจีโนมโดยไม่แจ้งหรือไม่ติดฉลาก อาจละเมิดสิทธิผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และในกรณีที่ไม่มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ อาจทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถรู้แหล่งที่มาหรือหลีกเลี่ยงได้
อีกทั้งยังมีความเห็นจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถึงข้อสังเกตต่อเทคโนโลยีจีโนม โดย กรรณิการ์ กิจติเวชกุล อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์ เป็นผู้แทนในการชี้แจง ทาง อย. ชี้แจงว่าเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งคล้ายกับการนำเสนอของ นางสาวปรกชล ส่วนแนวทางการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยของอาหาร อย. ย้ำว่า อาหารที่มาจากเทคโนโลยี SDN2 และ SDN3 จะต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเข้มงวด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 431 พ.ศ. 2565 ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 โดยเน้นให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านความปลอดภัยของอาหารที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
การออกประกาศรับรองจีโนมอาจขัด รธน.
รศ.ดร.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงพันธุ์พืช ได้ตั้งข้อสังเกตว่าประกาศกระทรวงเกษตรฯ เรื่องการรับรองสิ่งมีชีวิตจากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม ไม่มีฐานกฎหมายรองรับอย่างเหมาะสม และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 เนื่องจากไม่มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและเกษตรกรอย่างรอบด้าน อีกทั้งดูเหมือนมีเจตนาแยกพืชจีโนมออกจากการควบคุมในหมวด GMOs เพื่อหลีกเลี่ยงมติ ครม.
รศ.ดร.สุรวิชยังเตือนว่าการอ้างว่าเทคโนโลยีจีโนมปลอดภัยนั้นอาจชวนให้เข้าใจผิด เพราะแม้แต่เทคนิค SDN1 ก็ยังมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ตั้งใจ (off-target effects) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเกษตรกร โดยไม่มีมาตรการประเมินความเสี่ยงหรือการเยียวยาความเสียหาย ขณะเดียวกัน การใช้คำศัพท์คลุมเครือและการอ้างข้อมูลต่างประเทศอย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด
ด้าน ไพศาล ลิ้มสถิตย์ ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยกล่าวว่าการดำเนินการของ กระทรวงเกษตรฯ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 77 วรรค 2 ซึ่งกำหนดให้ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น วิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้านและเป็นระบบ เปิดเผยต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในทุกขั้นตอน รวมถึง ขัดต่อพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มาตรา 7 และ 17 ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานต้องวิเคราะห์ความจำเป็นและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ใช้ฐานอำนาจไม่เหมาะสม โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นเรื่องการจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวง
นอกจากนี้เรื่อง เทคโนโลยีจีโนมเป็นการดำเนินการทางเทคนิคเฉพาะด้าน จึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 มาตรา 13 วรรค 2 ซึ่งกำหนดให้พันธุ์พืชใหม่ที่ได้จากการตัดต่อสารพันธุกรรมจะจดทะเบียนได้ต่อเมื่อผ่านการประเมินผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือสวัสดิภาพของประชาชน
“กระทรวงเกษตรอาจใช้การลักไก่ ให้อำนาจการรับรองสิ่งมีชีวิต อาจไม่สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจ รวมถึงแม้ว่าจะมีการประชุมรับฟังความเห็นกับส่วนที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นราชการ ภาคธุรกิจ แต่ไม่มีตัวแทนของผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงสภาผู้บริโภคเองก็ไม่ได้รับเชิญ”
ปลาหมอคางดำยังแก้ไม่ตก จีโนมก็มาต่อ
ด้าน วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี มองว่าเป็นความพยายามเลี่ยงมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายควบคุม GMOs ที่มีอยู่เดิม ทั้งยังออกในช่วงเวลาที่ภาคเกษตรกำลังเผชิญปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ สะท้อนการขาดบทเรียนจากวิกฤตเดิม เช่นกรณีมะละกอ GMO ที่ยังส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของไทยในการส่งออก
เลขาธิการมูลนิธิชีววิถีชี้ว่าการใช้เทคโนโลยีจีโนมโดยไร้กฎหมายรองรับและไม่มีบทลงโทษ จะนำไปสู่ความเสี่ยงทั้งการปนเปื้อนข้ามพันธุ์ ความเสียหายต่อเกษตรอินทรีย์ รวมถึงการผูกขาดสิทธิบัตรทางพันธุกรรม ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงเพราะติดเงื่อนไขสิทธิ์ร่วมกับต่างประเทศ นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าประกาศนี้ไม่มีผลบังคับในทางกฎหมายและขาดความชอบธรรมทางรัฐธรรมนูญ
“สิ่งที่กำลังทำ มันไม่กฎหมายไปสู่การบังคับใช้ มีเพียงไกด์ไลน์เรื่องการรับรอง แต่ไม่มีบทลงโทษหากเกิดผลกระทบขึ้นมา เช่นเดียวกับปลาหมอคางดำมันเสียหายขนาดนี้แล้วเรายังจะคิดใช้การแก้ปัญหาแบบเดียวกัน” เขายกตัวอย่างกรณีปลาหมอคางดำที่สร้างความเสียหาย เพื่อชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากและการใช้แนวทางแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบ
ด้าน ผู้แทนสภาเกษตรกรแห่งชาติ มองว่า เทคโนโลยีปรับแต่งพันธุ์พืชมีโอกาสช่วยเกษตรกรพัฒนาสายพันธุ์ให้ทนแล้ง-ทนฝน แต่มีความเห็นว่ากระทรวงเกษตรฯ ต้องให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน เน้นความเสี่ยงตลาดส่งออกและการผูกขาดจากสิทธิบัตรที่อาจกระทบเกษตรกรในอนาคต รวมถึงมีความห่วงใยเกษตรกรในเรื่องของการผูกขาด ที่อาจเกิดขึ้นจากการจดสิทธิบัตรพืชที่ได้รับการปรับแต่งพันธุกรรม และมองว่าเกษตรกรยังไม่ได้รับรู้และเข้าใจในเรื่องนี้มากนัก จึงขอให้เก็บไว้พิจารณาต่อไป
ส่วน ผู้แทนเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก แสดงความเห็นว่า ในฐานะผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ทำเกษตรอินทรีย์และส่งออกไปยังสหภาพยุโรป พวกเขาต้องการรักษาความหลากหลายของผลผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคของคนไทยที่มีความหลากหลายในแต่ละมื้อ และมองว่าพันธุ์พืชท้องถิ่นดั้งเดิมนั้นแข็งแรงที่สุด เหมาะกับสภาพภูมิอากาศไทย สามารถรองรับความท้าทายต่าง ๆ ได้ดีกว่าเทคโนโลยีใหม่ แม้ว่าจะเข้าใจบทบาทของนักวิชาการในการปรับปรุงพันธุ์
รวมถึงมองว่า กระทรวงเกษตรฯ ยังไม่เคยเปิดรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาอย่างเป็นทางการ แต่มีความหวังว่าการประชุมเวทีต่อไปจะเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์และเครือข่ายทางเลือกเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อให้การพัฒนาพันธุ์พืชเกิดประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคอย่างแท้จริง
กระทรวงเกษตรฯ เพิกเฉย
ก่อนหน้านี้ กษิดิส บุญญะโสภิต ผู้ช่วยเลขานุการอนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์ เผยว่า สภาผู้บริโภคมีความกังวลต่อเทคโนโลยีจีโนม จึงได้ส่งหนังสือไปยังกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้เพิกถอนประกาศดังกล่าวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 แต่ไม่ได้รับการตอบกลับภายใน 60 วันตามที่คาดหวัง การละเลยนี้ถูกมองว่าเป็นการเพิกเฉยต่อการคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้สภาผู้บริโภคต้องจัดทำรายงานและจัดเวทีสาธารณะขึ้น
หลังจากเวลาผ่านไปนานถึง 233 วัน กระทรวงเกษตรฯ ได้ส่งหนังสือตอบกลับมายังสภาผู้บริโภค แต่เป็นการตอบกลับหนังสือฉบับเก่าที่ส่งไปตั้งแต่ปี 2567 การตอบสนองที่ล่าช้าเช่นนี้ถูกมองว่าสะท้อนถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ และไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลในการดูแลความปลอดภัยด้านอาหารและสุขภาพของประชาชน
บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค ย้ำว่า “เราได้ดำเนินการทุกด้านแล้ว เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ไม่ได้รับการตอบกลับจากหน่วยงานเลย”
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน เกี่ยวกับประกาศดังกล่าว โดยไม่ได้จัดรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ และไม่ได้ให้องค์กรผู้บริโภคหรือองค์กรภาคประชาชนด้านเกษตรกรรมเข้าร่วมแสดงความเห็น และไม่ปรากฏการเผยแพร่รายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย
บุญยืน ได้กล่าวทิ้งท้ายก่อนเริ่มเวทีว่า “หวังว่าหลังจากการจัดเวทีครั้งนี้ จะมีการตอบกลับที่ดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่านี้ เพราะการรับฟังความเห็นของกระทรวงเกษตร ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการรับฟังความเห็นจากภาคเกษตรกร เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและคุ้มครองผู้บริโภค”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- “ปรับแต่งจีโนม” ความปลอดภัยอันเปราะบาง ที่รัฐบาลต้องใส่ใจ
- ค้านเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม ชี้ขัดต่อความปลอดภัยทางชีวภาพ
- รายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำ อันมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภค
ผู้แทนภาครัฐยอมรับ เสี่ยง และไม่ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น
ในเวทีครั้งนี้ ยังได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองและการชี้แจงจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ
ผู้แทนจากกรมวิชาการเกษตร ชี้แจงถึงเจตนารมณ์ของประกาศกระทรวงเกษตรฯ ในการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมว่าเป็นความพยายามเพื่อพัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณภาพ แข่งขันได้ในตลาดโลก ภายใต้นโยบายส่งเสริมนวัตกรรมของรัฐบาล โดยยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้มีความปลอดภัยและได้รับการยอมรับในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่สามารถพัฒนาพืชจีโนมในลักษณะ “non-GMO” ได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี กรมฯ ตะหนักถึงเสียงเรียกร้องจากทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ที่ต้องการให้เพิกถอนประกาศและผู้ที่สนับสนุนให้เดินหน้าต่อ
แม้จะยอมรับว่าในกระบวนการออกประกาศไม่ได้เชิญภาคประชาชนหรือเกษตรกรเข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น แต่กรมฯ ยืนยันความพร้อมในการเปิดเวทีพูดคุยหาทางออกร่วมกัน พร้อมรับปากจะพิจารณาข้อกังวลของทุกฝ่าย โดยเฉพาะข้อมูลจากสภาผู้บริโภค หากสามารถอ้างอิงด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างรอบด้าน
ปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ยังไม่มีผู้มายื่นขอรับรองภายใต้ประกาศดังกล่าว งานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังจำกัดอยู่ในห้องปฏิบัติการ และยังไม่มีการทดลองในพื้นที่จริง อย่างไรก็ตาม หน่วยงานได้ลงพื้นที่กว่า 66 แห่งทั่วประเทศ และพบว่าหลังจากการให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีจีโนมเบื้องต้น เกษตรกรจำนวนมากแสดงความต้องการให้รัฐพัฒนาพันธุ์พืชด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ด้าน ผู้แทนจากกรมประมง เห็นว่าเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพสูงในการยกระดับการปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้บริโภค ยอมรับว่ายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่เข้าใจผลลัพธ์อย่างถ่องแท้ เช่น ปัญหา off-target effects หรือการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมที่ไม่ตั้งใจ
แม้จะตระหนักดีว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ไม่ล้าหลังในเวทีโลก แต่กรมประมงยังคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีอย่างรอบคอบ โดยยืนยันว่าจะเดินหน้าอย่างระมัดระวังภายใต้การควบคุมที่เคร่งครัด เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและความปลอดภัยของผู้บริโภค
ไบโอเทคชี้ไม่เปิดเสรี ต้องมีกฎระเบียบ
ผู้แทนศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในฐานะผู้จัดทำแนวทางปฏิบัติทางเทคนิคเพื่อประเมินความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม ได้ออกมายืนยันว่าเอกสารดังกล่าวมีลักษณะเป็นข้อเสนอเชิงวิชาการ พร้อมอธิบายว่า นิยามของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ตามพิธีสารคาร์ตาเฮนา ต้องเข้าเงื่อนไขทั้งการใช้เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่และการข้ามขอบเขตการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ซึ่งเทคโนโลยีจีโนมบางรูปแบบอาจไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว
นอกจากนี้ ไบโอเทคเน้นย้ำความจำเป็นของการมีกฎหมายหรือกฎระเบียบรองรับ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ โดยชี้ว่าหากไม่มีระบบที่ชัดเจน อาจทำให้ไทยเสียโอกาสด้านสิทธิบัตรและการพัฒนานวัตกรรมทางเกษตร และยังระบุว่า การรับรองพันธุ์พืชจะทำแบบ “รายกรณี” ไม่ใช่เปิดเสรีแบบครอบคลุมทั้งหมด ทั้งนี้ยังยกตัวอย่างความสำเร็จจากต่างประเทศ เช่น มะเขือเทศกาบาซูในญี่ปุ่นและถั่วเหลืองน้ำมันสูงในสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีจีโนมเอดิตติ้งต่อทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค
ผู้แทนสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องการรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเข้ามาโดยตรง แต่สำนักงานมีหน้าที่และอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริง ตรวจสอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐ และเสนอแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังสามารถส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองเพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายได้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและคุ้มครองสิทธิของประชาชนในกรณีที่เกิดข้อพิพาท
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคยังคงยืนยันให้กระทรวงเกษตรฯ ยกเลิกประกาศดังกล่าว รวมถึงระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากขั้นตอนการออกประกาศขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ และควรดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างเปิดกว้าง และสภาผู้บริโภคจะติดตามการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ รวมถึงนำส่งข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาและนำเสนอในเวทีนี้ให้กับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาต่อไป
หมายเหตุ: คำจำกัดความเทคโนโลยีจีโนม
*SDN (Site-Directed Nuclease) คือการใช้เอนไซม์ตัดดีเอ็นเอที่ “ตั้งเป้าลำดับได้” เพื่อแก้ไขจีโนม ณ ตำแหน่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ผลที่เกิดถูกจัดหมวดเป็น SDN-1, SDN-2, SDN-3 ตามลักษณะของการแก้ระดับดีเอ็นเอ (edit type)
SDN-1 – การแก้แบบ indels ขบาดเล็กเกิดการ “เพิ่มหรือลบเบสสั้น ๆ” ตรงตำแหน่งที่กำหนดไว้ ทำให้ยืนมักหยุดทำงานหรือเปลี่ยนการทำงานเล็กน้อย, อย่างไรก็ดี บางกรณีพบ large deletions/การจัดเรียงโครโมโซมที่ตำแหน่งเป้า ได้
SDN-2 – การแก้แบบเฉพาะตำแหน่งอย่างละเอียดแทนที่/แก้ไข จำนวนนิวคลีโอไทด์เล็กน้อย (เช่น เปลี่ยน 1-ไม่กี่เบส) ตามแบบที่ออกแบบไว้ตรงตำแหน่งนั้น
SDN-3 – การใส่หรือแทนที่ลำดับยาวแบบกำหนดตำแหน่งแทรกหรือสลับ ชิ้นส่วนส่วนดีเอ็นเอทียาวกว่า (เช่น ยีนทั้งยีนหรือคาสเซ็ตขององค์ประกอบการแสดงออก) ณ ตำแหน่งที่เลือก