| Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภค ยื่นค้านมติ กพช. 28 พ.ย. 68 ปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ ผลักภาระต้นทุนจากกลุ่มปิโตรเคมีไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า จี้ “อนุทิน” ยกเลิก ก่อนผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69
สภาผู้บริโภค ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้ยกเลิกมติเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่เห็นชอบการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ หรือพูลก๊าซ (Pool Gas) ที่ทำให้โรงแยกก๊าซและกลุ่มปิโตรเคมีมีต้นทุนถูกลง แต่ไปเพิ่มต้นทุนของกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟแพงขึ้น และผู้บริโภคได้รับผลกระทบ
วันที่ 25 ธันวาคม 2568 สภาผู้บริโภคจัดแถลงข่าว “รัฐรีบร้อนปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ…เพื่อใคร” เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อมติ กพช. ดังกล่าว เนื่องจากแนวทางดังกล่าวจะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และสร้างความไม่เป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน พร้อมเรียกร้องให้ยกเลิกมติดังกล่าวก่อนมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2569

รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค อธิบายว่า มติในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนสูตรการคำนวณโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ โดยนำก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทยไปจัดสรรให้ภาคปิโตรเคมีเป็นหลัก ขณะที่ภาคผลิตไฟฟ้าต้องใช้ก๊าซที่มีต้นทุนสูงขึ้นจากการเฉลี่ยรวมกับ LNG นำเข้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายในที่สุด ในทางกลับกันต้นทุนของกลุ่มปิโตรเคมีจะลดลง ซึ่งสวนทางกับหลักการใช้ทรัพยากรพลังงานของประเทศอย่างเป็นธรรม
ทั้งนี้ สมัยที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ใช้ระบบพูลก๊าซ ซึ่งโรงแยกก๊าซต้องซื้อก๊าซในราคา 327.29 บาทต่อล้านบีทียู แต่หากคำนวณราคาภายใต้นโยบายปรับโครงสร้างราคาก๊าซตามมติ กพช. ล่าสุดจะทำโรงแยกก๊าซได้ใช้ราคาที่ถูกลงกว่าการคำนวณแบบพูลก๊าซ โดยพบว่าต้นทุนของโรงแยกก๊าซจจะลดลงเหลือประมาณ 223.07 บาทต่อล้านบีทียู
“มตินี้ทำให้โรงแยกก๊าซและปิโตรเคมีได้ก๊าซราคาถูก ขณะที่ภาคไฟฟ้าต้องใช้ก๊าซแพงขึ้นจากการถัวเฉลี่ยกับ LNG สุดท้ายค่าไฟก็ต้องสูงขึ้น นี่คือโครงสร้างที่ถอยหลังจากหลักความเป็นธรรม” รศ.ดร.ชาลี ระบุ
จี้ “อนุทิน” ยกเลิกมติกพช.

ด้านรสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบาย และประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ระบุว่า การเร่งผลักดันมติดังกล่าวในช่วงที่รัฐบาลอยู่ในสถานะรักษาการ และไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ถือเป็นการดำเนินนโยบายที่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล ทั้งยังเป็นการผลักภาระให้ผู้ใช้ไฟฟ้า และย้ายประโยชน์ไปสู่ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
“ก่อนหน้านี้ที่ที่ภาคส่วนใช้ราคาพูลก๊าซ สามารถช่วยประชาชนลดค่าไฟได้ 6 สตางค์ อาจจะดูน้อย แต่เมื่อคำนวณภาพรวมจะทำให้ลดภาระค่าไฟ ได้ถึง 12,000 ล้านบาทต่อปี แต่การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ ตามมติ กพช. วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 และ ให้มีผลทันที ในวันที่ 1 มกราคม นี้ ถือ ว่าเป็นการให้ของขวัญปีใหม่กับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และผลักภาระ ให้ประชาชนใช่หรือไม่” ประธานอนุฯ พลังงาน ระบุ
รสนา กล่าวว่า อยากให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกพช.ยกเลิกมติปรับโครงสร้างราคาก๊าซใหม่ หากมีความจริงใจที่จะลดราคาพลังงานให้กับประชาชนตามที่หาเสียงไว้ เพราะการใช้โครงสร้างราคาก๊าซใหม่นอกจากจะไม่ช่วยลดค่าไฟแล้ว ยังผลักภาระให้กับผู้บริโภค ถ้าไม่ดำเนินการ สภาผู้บริโภคจะฟ้องยกเลิกมติดังกล่าว และประชาชนที่จะเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ต้องคิดให้ดีว่าจะเลือกพรรคนี้หรือไม่ เพราะพูดแล้วไม่ทำ

อิฐบูรณ์ อ้นวงษา อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าสูงถึงกว่าร้อยละ 50 ของกำลังผลิตทั้งหมด โดยก๊าซดังกล่าวมาจาก 3 แหล่งหลัก ได้แก่ ก๊าซจากอ่าวไทย ก๊าซจากเมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้า ซึ่งที่ผ่านมามีการใช้ระบบ “ถัวเฉลี่ยราคา” หรือพูลก๊าซเพื่อให้ผู้ใช้ทุกภาคส่วนร่วมรับภาระต้นทุนอย่างเท่าเทียม
อย่างไรก็ตาม มติ กพช. ล่าสุดจะส่งผลให้ก๊าซที่ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีต้นทุนต่ำลง ขณะที่ก๊าซสำหรับผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรมอื่น และภาคขนส่งต้องใช้ราคาพูลก๊าซ ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจากทั้งสามแหล่ง ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
“การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องเชิงเทคนิคเฉพาะวงการพลังงาน แต่เป็นเรื่องปากท้อง ถ้าโครงสร้างราคาถูกปรับโดยไม่รอบคอบ ค่าไฟก็มีโอกาสขยับขึ้นทันที และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชนทั่วไป” อิฐบูรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 สภาผู้บริโภคได้ทำหนังสือถึงประธาน กพช. ขอให้ทบทวนมติการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ โดยย้ำว่าก๊าซจากอ่าวไทยเป็นทรัพยากรของประเทศที่ประชาชนควรได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม พร้อมเสนอให้ยึดหลัก “Single Pool Gas” คือการถัวเฉลี่ยราคาก๊าซจากทุกแหล่งเป็นราคาเดียวสำหรับผู้ใช้ทุกกลุ่ม หรือพิจารณาทางเลือกให้ภาคปิโตรเคมีและภาคขนส่งใช้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวอิงตลาดโลก เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน หากไม่มีการชะลอหรือทบทวนมติดังกล่าว และมีการบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2569 อาจจำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและรักษาความเป็นธรรมด้านพลังงานของประเทศต่อไป



