Getting your Trinity Audio player ready... |

ภาคประชาชนขอโอกาส ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ความหวังผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม ลดปัญหาสุขภาพระยะยาว เรียกร้องขยายโมเดลสู่คนต่างจังหวัด สภาผู้บริโภคเผยผลวิจัยหลายโมเดลยืนยันทำได้และยั่งยืน
ตัวแทนภาคประชาชนและผู้มีรายได้น้อย ประสานเสียงขอโอกาสใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เผยทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายเดินทางสูงมาก ต้องทนขึ้นรถเมล์ฝ่ารถติด 4 ชั่วโมง ขณะที่ผลวิจัยของสภาผู้บริโภคศึกษากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ยืนยันว่ารถไฟฟ้า 20 บาททำได้ และเสนอ 4 ทางเลือกในการบริหารจัดการหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน คือ ต่อสัญญากับรายเดิม เปิดประมูลใหม่ ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) บริหารเอง หรือโอนให้คมนาคม โดยทุกโมเดลมีความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์และสังคม สามารถเพิ่มความสุขและสุขภาพที่ดีให้ประชาชนในระยะยาว
สุจิน รุ่งสว่าง ตัวแทนผู้บริโภค จากศูนย์คุ้มครองแรงงานนอกระบบกทม. กล่าวว่า ทุกวันนี้อาศัยอยู่ในย่านลาดกระบัง หากต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ต้องเสียค่าใชจ่ายในการเดินทางไม่ต่ำกว่า 300 บาท ส่วนตัวได้ขับเคลื่อนสนับสนุนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายมานาน เพราะอยากมีโอกาสได้ใช้รถไฟฟ้าในราคาถูกที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และอยากให้มีระบบตั๋วร่วม ซึ่งวันนี้การเดินทางในระบบไฟฟ้าต้องใช้บัตรถึง 4 ใบ สำหรับตัวเองที่เป็นผู้สูงอายุแล้ว ทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก
“เราขับเคลื่อนรถไฟฟ้า 20 บาทมานาน เพราะอยากมีโอกาสได้ใช้บ้าง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ทุกวันนี้ ลูก หลานที่เป็นวัยทำงาน ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเดินทางเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ชั้นใน ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเดินทางไป กลับ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เพราะนอนน้อย สุดท้ายก็จะเป็นภาระงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐในการดูแลสุขภาพของประชาชนผ่านบัตรทอง ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการรายเดิม หรือรายใหม่ จะเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้มีโอกาสได้ใช้รถไฟฟ้าบ้าง” นางสุจินกล่าว
สุกัญญา คงอำพัน กล่าวเช่นเดียวกันว่า แม้วันนี้จะเกษียณแล้ว แต่ตอนวัยทำงาน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงมาก โดยเฉพาะรถไฟฟ้ามีราคาแพงมาก มีเงินไม่ถึง 200 บาท ไม่ต้องคิดเดินทางออกจากบ้าน หรือถ้าจำเป็นต้องไป ก็ต้องอดข้าว อดน้ำ เพื่อเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ดังนั้นโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ถือเป็นความหวังของคนกรุงเทพฯ รวมถึงคนที่เข้ามาทำงานในเมืองหลวง เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดจากระบบขนส่งมวลชน
ด้านบูรพา เล็กล้วนงาม ตัวแทนผู้บริโภคอีกราย ได้แสดงความเห็นว่า ระบบขนส่งมวลชน ถือเป็นบริการสาธารณะ อยากคิดถึงเรื่องความคุ้มค่า รัฐต้องมีเงินอุดหนุน และทำให้รถไฟฟ้า ซึ่งเป็นบริการสาธารณะเช่นเดียวกับรถเมล์ที่ทำให้ทุกคนใช้ได้จริง มีราคาที่แตะต้องได้ รวมถึงมีระบบเชื่อมต่อระหว่างบริการรถสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้การเดินทางสะดวก
“ทุกวันนี้ คนทำงาน ไม่มีใครอยากไปนั่งรถเล่น ๆ ทุกคนที่ออกไปทำงานใช้บริการรถสาธารณะก็เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโต ค่าเดินทางไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรง หรืออยู่ที่ 40 – 50 บาท แต่ถ้าจะทำให้คนธรรมดา ๆ นั่งได้ 20 บาทยังแพงไปเลย อยากให้ภาครัฐและภาคธุรกิจต้องคิดถึงต้นทุนที่คนยาก คนจนต้องเสียในการเดินทางมาทำงานเพื่อให้ธุรกิจเติบโต ทั้งค่าเสียโอกาสในการอยู่กับครอบครัว ดังนั้นจะตีโจทย์แค่เรื่องต้นทุนในสัญญา สัมปทานอย่างเดียวคงไม่พอ” นายบูรพากล่าว
เสนอโยกงบทางด่วนอุดหนุน
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคสนับสนุนให้มีบริการขนส่งสาธารณะที่ประชาชนขึ้นได้ทุกวัน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่อยากเห็นค่าบริการไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้ผลักดันนโยบายร่วมกับองค์กรสมาชิกใน 58 จังหวัดทั่วประเทศ ให้ประชาชนสามารถเดินออกจากบ้านไม่เกิน 500 เมตร พบกับขนส่งสาธารณะได้ ซึ่งหลายจังหวัดได้เริ่มทำแล้ว เช่น ลำพูน ภูเก็ต ที่ภูเก็ต มีการซื้อรถอีวี 20 คันเพื่อบริการฟรีแก่เด็กนักเรียน และผู้สูงอายุ ถือเป็นทิศทางที่สำคัญในการสนับสนุนการเดินทางของประชาชนอย่างเท่าเทียม
“สำหรับโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย รัฐบาลกำลังไม่มีทางออก ติดขัดในเรื่องงบกลางที่ไม่สามารถนำมาใช้ในโครงการได้ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะแปลงจากงบซ่อม สร้างถนน หรืองบก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น ซึ่งเป็นเงินกว่า 34,000 ล้านบาท มองว่าไม่จำเป็นและไม่สามารถแก้ปัญหารถติดได้ จะดีกว่าไหมหากนำมาใช้ในโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษ PM 2.5 และอยากเรียกร้องให้ภาคเอกชนมาทำงานร่วมกัน ยืนยันว่าการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ของสภาผู้บริโภค ถือเป็นผลดีกับภาคเอกชน และอยากเห็นภาคธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเข้มแข็งมากขึ้น และสามารถแข่งขันได้ อยากให้ทุกคนมาช่วยแก้ปัญหา อย่างกรณีสายสีเขียว ไม่อยากให้ภาระตกอยู่กับผู้บริโภค” นางสาวสารีกล่าว
นอกจากนี้ พรรคการเมืองต่าง ๆ ตอนหาเสียงทุกพรรคมีนโยบายเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้าอย่างชัดเจน พรรคเพื่อไทยพูดเรื่อง 20 บาทอย่างชัดเจน พรรคประชาธิปัตย์เสนอ 50 บาทใช้ได้ตลอดวัน เดินทางกี่เที่ยวก็ได้ พรรคภูมิใจไทยเสนอ 40 บาทต่อวันสามารถเดินทางได้ทั้งรถไฟฟ้า เรือ พรรคก้าวไกลเสนอรถไฟฟ้า 15 บาท และก่อนหน้านี้ผลการศึกษาของกระทรวงคมนาคมออกมาแล้วว่าหากลดราคารถไฟฟ้าเหลือ 25 บาท กทม.ยังมีกำไร 32,000 ล้านบาท ซึ่งในแง่งบประมาณยังมีภาษีรถยนต์ที่กทม.มีรายได้ปีละ 16,000 ล้านบาท สามารถนำมาใช้ได้
“ประเทศเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ปัญหาคือการบริหารจัดการ และการจัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน เช่น การก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น ไม่สามารถแก้รถติดได้ ยิ่งสร้างถนน ยิ่งรถติด ดังนั้นพรรคการเมืองทุกพรรคที่มีนโยบายต้องเข้ามาสนับสนุนให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปได้ และขยายไปสู่ต่างจังหวัด เพื่อให้มีบริการขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน” สารีกล่าว
เสนอ 4 ทางออกแก้รถไฟฟ้าสีเขียว
ทั้งนี้ สำหรับผลโครงการศึกษารูปแบบและเงื่อนไขสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้ากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวและกรุงเทพมหานคร ที่สภาผู้บริโภคร่วมกับศูนย์กฎหมายศรีปทุม มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้สรุปผลศึกษาเบื้องต้นในการแก้ปัญหากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งมีความเป็นไปได้ 4 แนวทาง คือ 1. ต่อสัญญาให้ผู้บริการรายเดิม 2. เปิดประมูลหาผู้บริการรายใหม่ 3. ให้กทม.บริหารเอง และ 4. โอนภารกิจการบริหารให้กระทรวงคมนาคม โดยทั้ง 4 ทางเลือกมีข้อดี ข้อเสีย เช่น
- ต่อสัญญาให้ผู้บริการรายเดิม ข้อดี คือความต่อเนื่อง มีประสบการณ์ และประหยัดต้นทุน ข้อเสีย คือขาดโอกาสการพัฒนา มีข้อกังวลเรื่องความโปร่งใส และความเป็นไม่ธรรม
- เปิดประมูลหาผู้บริการรายใหม่ ข้อดี คือมีการแข่งขัน ทำให้มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการให้บริการ ข้อเสีย คือต้นทุนสูง ใช้เวลานานและมีความเสี่ยงในเรื่องการเปลี่ยนผ่าน และอาจถูกฟ้องร้องโดยผู้ประกอบการรายเดิม
- ให้กทม.บริหารเอง ข้อดี สามารถกำหนดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ข้อเสีย ขาดความเชี่ยวชาญ ต้องแบกรับต้นทุนและความเสี่ยงทั้งหมด
- โอนภารกิจการบริหารให้กระทรวงคมนาคม กรณีนี้ยังไม่มีโมเดลเทียบเคียงที่ชัดเจน แต่จากการศึกษาในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นการโอนภารกิจให้หน่วยงานเฉพาะที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เช่น ที่ออสเตรเลีย เป็นต้น
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในทางเศรษฐศาสตร์ กรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ไม่ว่าจะใช้ทางเลือกใด ภายใต้การตั้งราคา 20 หรือ 25 บาทตลอดสายมีความเป็นไปได้ และคาดว่าจะมีผู้โดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30% ถือว่าสามารถดำเนินการได้ และยังเพิ่มความคุ้มค่าทางสังคม ทั้งการประหยัดเวลาในการเดินทาง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ด้าน ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่ากทม. กล่าวว่า เห็นด้วยหากจะทำให้อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าลดลง จะเป็น 20 บาท หรืออาจจะลดลงกว่านี้ก็ได้ แต่อยากให้พิจารณาให้เหมาะสม รอบด้าน มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และมีความยั่งยืน
ขณะที่ จุฑาพงศ์ แซ่ตั้ง เจ้าของเพจ Render Thailand กล่าวว่า สำหรับกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ไม่ว่าจะหมดสัญญาปี 2572 หรือ 2585 ในแง่ของผู้ใช้บริการ ไม่ควรต่อสัญญาให้กับผู้ประกอบการรายเดิม เพราะการทำสัญญา สัมปทานมีช่องโหว่ และให้สิทธิกับเอกชนอย่างมาก อยากให้กทม.ประมูล หรือจัดหาผู้เดินรถรายใหม่ และการบริหารจัดการควรเป็นการตัดสินใจของกทม. ไม่ใช่ให้กระทรวงมหาดไทยตัดสินใจ
“เมื่อหมดสัญญาไม่ควรไปต่อ เพราะรายเดิมมีปัญหาเยอะมาก ปัจจุบันร้านค้าต่าง ๆ บนสถานีรถไฟฟ้า รวมถึงโฆษณาตามป้ายบอกทางต่าง ๆ มีเยอะมาก กระทบการรับรู้ข้อมูลของคนเดินทาง ควรรีเซ็ตใหม่ เห็นด้วยว่าจะมีการโอนให้รฟม.หรือคมนาคม หากบริหารได้สำเร็จจะเป็นโมเดลขยายไปต่างจังหวัดได้” จุฑาพงศ์กล่าว