| Getting your Trinity Audio player ready... |

ผู้บริโภค 13 ราย ตัวแทนกว่า 40 หลังคาเรือน “หมู่บ้านเดอะ รอยัล ลากูน” เข้ายื่นร้องเรียนต่อสภาผู้บริโภค เร่งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย แก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ขาดแคลนสาธารณูปโภคกว่า 20 ปี หวังเป็นที่พึ่งสุดท้าย
กว่า 20 ปีที่ “หมู่บ้านเดอะ รอยัล ลากูน” ตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเดือดร้อนที่ไม่สิ้นสุดของผู้บริโภคที่ซื้อบ้านในโครงการจัดสรร เมื่อซื้อบ้านแล้วเจอน้ำท่วมซ้ำซาก ซ้ำร้ายผ่านมากว่าสองทศวรรษยังไม่ได้รับ “สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน” แม้มีคดีความต่อเนื่องจนท้ายที่สุดศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาออกมาตั้งแต่ปี 2560 ให้เจ้าของโครงการดูแลสาธารณูปโภค แต่กลับไม่มีผลบังคับใช้ และยังมีคดีระหว่างเจ้าของโครงการกับลูกบ้านตามมาอีกรวมทั้งสิ้น 5 คดี อย่างไรก็ตาม ตัวแทนผู้บริโภค 13 ราย จากกว่า 40 หลังคาเรือน ห่วงคดีที่ลูกบ้านชนะในปี 2560 ยังไม่มีการดำเนินการ จึงเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนกับสภาผู้บริโภค ขอความช่วยเหลือผลักดันให้เกิดการปฎิบัติตามคำพิพากษา เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภคจัดเจรจาไกล่เกลี่ยนัดแรกให้กับลูกบ้านโครงการ “เดอะ รอยัล ลากูน” ตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยมีตัวแทนลูกบ้าน จำนวน 13 ราย จากกว่า 40 หลังคาเรือน หลังลูกบ้านต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วม ถนนพัง น้ำประปาใช้ไม่ได้ ไฟฟ้าส่องสว่างขัดข้อง และไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งในการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ เจ้าของโครงการไม่ได้ส่งตัวแทนมาร่วมด้วย
เก็บค่าส่วนกลางแต่ไม่มีสาธารณูปโภค
นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล ลูกบ้าน “หมู่บ้านเดอะ รอยัล ลากูน” ผู้เสียหายในกรณีนี้ เปิดเผยว่า ได้ซื้อบ้านจากผู้จัดสรรโครงการ ชื่อบริษัท ดิ แอ็คคิวมิวเลชั่น จำกัด ที่พัฒนาโครงการตั้งแต่ปี 2540 และได้รับใบอนุญาตจัดสรรในปี 2543 หลังจาก พ.ร.บ. จัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มีผลบังคับใช้ โดยจ่ายค่าส่วนกลางเดือนละประมาณ 500 บาท ล่วงหน้าเป็นเวลา 3 ปี แต่ระบบน้ำประปายังไม่เรียบร้อย เป็นน้ำบาดาล ทำให้สุขภัณฑ์เป็นสนิม ทำให้เด็ก ๆ ผู้ใช้น้ำเกิดผื่นคันจนต้องย้ายออกไป หลังครบ 3 ปี (ปี 2551) ลูกบ้านและโครงการฯ ได้เจรจาตกลงเรื่องค่าส่วนกลาง แต่ไม่เป็นผล ลูกบ้านจึงรวมตัวกันฟ้องคดี ขณะที่เจ้าของโครงการฟ้องกลับ เป็นคดีความทั้งหมดรวม 5 คดี เป็นปัญหาที่ทำให้หมู่บ้านไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา
คดีที่ 1 ลูกบ้านฟ้องศาลผู้บริโภคจังหวัดนครนายก กล่าวหาเจ้าของโครงการว่าสาธารณูปโภคไม่เรียบร้อยแต่ศาลยกฟ้อง เพราะการจัดสรรที่ดินอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครนายก
คดีที่ 2 ลูกบ้านฟ้องคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดนครนายก ต่อศาลปกครองและศาลปกครองตัดสินให้ชนะคดี โดยให้คณะกรรมการจัดสรรที่ดินบังคับให้เจ้าของที่ดินรับผิดชอบดูแลสาธารณูปโภคให้เรียบร้อยและวางเงินประกัน ในปี 2560
ต่อมา ลูกบ้านเห็นว่าโครงการไม่ได้ดูแลสาธารณูปโภคให้เป็นไปตามแผนผังการจัดสรร ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟทาง ไม่มี รปภ. และไม่มีการแจกแจงค่าใช้จ่ายใด ๆ ลูกบ้านจึงไม่จ่ายค่าส่วนกลาง
คดีที่ 3 ลูกบ้านถูกเจ้าของโครงการฟ้องเรียกค่าส่วนกลาง และเจ้าของโครงการชนะคดีที่ศาลฏีกา ทำให้ลูกบ้านต้องจ่ายค่าส่วนกลาง รายละ 30,000 – 40,000 บาท ผลจากการฟ้องคดีนี้ทำให้ลูกบ้านจำเป็นต้องฟ้องค่าเสียหายคืน
คดีที่ 4 ลูกบ้านฟ้องเรียกค่าเสียหายกับเจ้าของโครงการ และชนะคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ขณะนี้เรื่องอยู่ในศาลฎีกา
คดีที่ 5 ลูกบ้านถูกเจ้าของโครงการฟ้องเรียกค่าส่วนกลางซ้ำอีก เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยได้รับหมายศาลเรียกค่าส่วนกลางย้อนหลัง 5 ปี เป็นเงินประมาณ 120,000 บาท คาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการของศาลเร็ว ๆ นี้
“ตอนนี้กังวลใจว่าคดีที่ลูกบ้านชนะในปี 2560 แต่ยังไม่มีการบังคับคดี เพราะเจ้าของโครงการฯ ร้องสอด และยื่นอุทธรณ์ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จนกลัวว่าจะหมดสภาพบังคับ ลูกบ้านจะทำอย่างไร เราไปร้องมาแล้วทุกที่ แต่ก็ผิดหวัง สภาผู้บริโภคเป็นที่พึ่งสุดท้ายแล้ว” นพ.สุธี กล่าว
วิชัย สีชาลี ลูกบ้าน กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องการ คืออยากให้ผู้เกี่ยวข้องบังคับให้เจ้าของโครงการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งตาม พ.ร.บ.จัดสรรที่ดินฯ และคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเรารอให้มีผู้มาแก้ไขปัญหากว่า 20 ปี แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการใด ๆ และเจอกับปัญหาน้ำท่วมครั้งแล้ว ครั้งเล่า เราขอแค่ให้ทำตามกฎหมาย จัดให้มีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น ทำคันกั้นน้ำ มีระบบน้ำประปา มีทุกอย่างตามที่โครงการระบุไว้ในใบอนุญาตจัดสรรเท่านั้น
“ที่ผ่านมา ลูกบ้านต้องช่วยกันเอง น้ำท่วมก็ต้องช่วยกัน ลงเงินคนละ 2,000 – 3,000 บาท เราเดือดร้อนจริง เราซื้อโครงการนี้ เพราะคิดว่าจะมีระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ตามที่โฆษณาไว้ ซึ่งมีแค่ช่วงแรก แต่หลังจากนั้นไม่มี และยังไม่บำรุงรักษา น้ำท่วมทีต้องพายเรือเข้ามา ถือว่าสาหัสพอสมควร อยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการจัดสรรที่ดิน เร่งดำเนินการ ไม่ใช่ยื้ออยู่อย่างนี้ ที่ดิ้นรนเพราะเดือดร้อนจริง ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปอยู่ดู” วิชัย กล่าว
สภาผู้บริโภคเร่งไกล่เกลี่ยและดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้ ถือเป็นการไกล่เกลี่ยนัดแรก ซึ่งบริษัทเจ้าของโครงการฯ ไม่ได้มาร่วม โดยสภาผู้บริโภคจะเร่งนัดเจรจาอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันสภาผู้บริโภคจะเร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้กับลูกบ้าน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเดือดร้อนเรื่องไฟฟ้า ประปา คันดินป้องกันน้ำท่วม ที่เกิดน้ำท่วมทุกปี ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ลูกบ้านควรจะได้รับ
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคจะดำเนินการพิจารณาฟ้องอนุกรรมการจัดสรรที่ดิน จังหวัดนครนายก อาจเข้าข่ายที่ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่มีคำพิพากษา ตั้งแต่ปี 2560 ทำให้ลูกบ้านได้รับผลกระทบจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน
“สภาผู้บริโภค จะเรียกผู้ประกอบการมาเจรจา เพราะแนวทางการไกล่เกลี่ยถือเป็นหนทางที่เร็วที่สุดที่ลูกบ้านจะได้รับการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนเรื่องการบังคับคดีต้องดำเนินการไป” ภัทรกรกล่าว



