Getting your Trinity Audio player ready... |

ผู้บริโภคยืนหยัดสู้คดีกว่า 2 ปี สู่ชัยชนะคดี รักษาผิดพลาด จากความจากความประมาทของแพทย์ ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคพร้อมหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด อยู่เคียงข้างและต่อสู้ไปจนถึงที่สุด
วันนี้ (31 กรกฎาคม 2568) อาภรณ์ อะทาโส หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด สภาผู้บริโภค เปิดเผยถึงชัยชนะของผู้บริโภคในคดีฟ้องความประมาทของแพทย์ หลังยืนหยัดต่อสู้ในชั้นศาลมายาวนานกว่า 2 ปี
อาภรณ์ เล่าว่า ผู้บริโภครายนี้ ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างก่อสร้าง เกิดอาการปวดเมื่อย จึงเข้ารับการรักษาที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่ง โดยแพทย์ฉีดยายาไดโคลฟีแนคให้ที่ก้นซ้าย โดยไม่ได้สอบถามประวัติการรักษา เช่น มีโรคประจำตัว หรือเคยแพ้ยาฉีดแก้ปวดหรือไม่ และไม่ได้วัดความดันก่อนที่จะฉีด
หลังจากฉีดยา ผู้บริโภคเกิดอาการชาและไม่สามารถลุกเดินได้ แม้แพทย์จะให้รอดูอาการและวินิจฉัยเบื้องต้นว่าจะหายภายใน 3 เดือน แต่เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลภายหลัง กลับพบว่าต้องใช้เวลารักษานานถึง 5 เดือนถึง 1 ปี และอาจไม่สามารถเดินได้ตามปกติอีก

“ในตอนแรกผู้บริโภค จึงได้ไปปรึกษาตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือและพยายามไกล่เกลี่ย แต่ไม่สำเร็จ ตำรวจจึงแนะนำให้ยื่นเรื่องที่ศาล เมื่อคดีมาถึงศาล เจ้าพนักงานคดีที่ศาลรู้จักหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด สภาผู้บริโภค จึงได้โทรศัพท์มาขอให้เข้ามาช่วยในคดีนี้” อาภรณ์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามามีบทบาท
เมื่อเจ้าพนักงานของศาลประสานไปยังหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด จึงเริ่มได้เริ่มกระบวนการช่วยเหลือ และได้ประสานงานไปยังสภาผู้บริโภค เพื่อจัดหาทนายความ อีกทั้งยังประสานนักวิชาการด้านเภสัชกรรม เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้ยารักษา และติดตามคดีอย่างต่อเนื่อง แม้ในชั้นอุทธรณ์ที่ใช้เวลากว่าสองปีเต็ม
ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดพิพากษาให้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายชนะคดี และให้จำเลยผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นคลินิกผู้ให้บริการทางการแพทย์ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภคเป็นเงิน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี แต่ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า ยังน้อยเกินไป สำหรับค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายเพื่อการที่ผู้บริโภคต้องขาดรายได้จากการประกอบอาชีพ จึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้ผู้ประกอบการทางการแพทย์ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอีก เป็นเงิน 570,000 บาท พร้อมดอกเบี้นในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี
ทั้งนี้ กรณีผลข้างเคียงจากการฉีดยาไดโคลฟีแนค ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงรายเดียว จากข้อมูลเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2562 อาจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเปิดเผยว่า มีกรณีเกิดเหตุไม่พึงประสงค์จากการใช้ ยาไดโคลฟีแนคชนิดฉีด (Diclofenac injection) หลังพบผู้ป่วยบางรายมีอาการผิดปกติของเส้นประสาท เช่น ขาอ่อนแรง หรือขาไม่มีกำลัง หลังได้รับยาดังกล่าว ซึ่งมีคนไข้จำนวนพอสมควรที่ทำเรื่องขอเงินเยียวยาไปยังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าสาเหตุเกิดจากตัวยาโดยตรง หรือเป็นผลจากเทคนิคการฉีดที่อาจกระทบเส้นประสาท แต่เพื่อความปลอดภัย อย. จึงมีมาตรการให้ชะลอหรือถอนการใช้ยาไดโคลฟีแนคในรูปแบบฉีดไว้ก่อน จนกว่าจะมีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนยืนยันผลกระทบต่อระบบประสาท
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา หากไม่มีการตรวจสอบและใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง ซึ่งในกรณีนี้ ศาลได้พิจารณาว่าการกระทำของแพทย์เป็นความประมาทเลินเล่อ
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงพลังของผู้บริโภคที่ลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิของตนเองเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของสภาผู้บริโภค โดยเฉพาะหน่วยงานประจำจังหวัดที่เป็นด่านหน้าในการเข้าถึงและยืนหยัดเคียงข้างผู้บริโภคในพื้นที่อย่างไม่ทอดทิ้ง แม้การต่อสู้จะยาวนานถึง 2 ปี แต่ด้วยการสนับสนุนจากสภาผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคได้รับความยุติธรรมได้ในที่สุด
สำหรับผู้บริโภคที่พบปัญหาการถูกละเมิดสิทธิ สามารถร้องเรียนมาได้ที่ สายด่วนสภาผู้บริโภค โทร 1502 หรือช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ tcc.or.th และสามารถร้องเรียนกับหน่วยงานประจำจังหวัดของสภาผู้บริโภค ทั้ง 20 จังหวัด โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.tcc.or.th/tcc-agency/
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง