“ลูกเราเรียนอะไร?” ร่วมถก ร่วมคิด หลักสูตรฐานสมรรถนะ 68

“ลูกเราเรียนอะไร?” ร่วมถก ร่วมคิด หลักสูตรฐานสมรรถนะ 68

สภาผู้บริโภคเตรียมจัดเวทีสาธารณะออนไลน์ ชวนหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ ครู และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมระดมความคิดเห็น ในหัวข้อ “ลูกเราเรียนอะไร : ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษา” พฤหัสที่ 28 สิงหา นี้ ตั้งเป้าวางรากฐานการศึกษายุคใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้เรียนอย่างแท้จริง

จิรัชว์ชยา คำมี ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการศึกษา เปิดเผยว่าตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีที่ผ่านมา ระบบการศึกษาไทยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ที่จัดทำโดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นแนวทางหลักในการจัดการเรียนการสอน อย่างไรก็ตาม หลักสูตรดังกล่าวอาจมีเนื้อหาและเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดข้อจำกัดในการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกยุคปัจจุบัน เพื่อตอบสนองความท้าทายนี้  สพฐ. จึงได้จัดทำ หลักสูตรฐานสมรรถนะ 2568 ซึ่งเริ่มนำร่องใช้แล้วในโรงเรียนกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ และวางแผนจะเริ่มใช้ในระดับประถมศึกษาตอนปลายและระดับมัธยมศึกษาต่อไป ในปี 2569

หลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ. 2551 หลักสูตรฐานสมรรถนะ 68 ต่างกันยังไง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่การเปลี่ยนผ่านหลักสูตรยังคงมีข้อจำกัดที่สำคัญ โดยปัจจุบันยังไม่มีกรอบกฎหมายที่รองรับหลักสูตรใหม่อย่างชัดเจน ทำให้โรงเรียนหลายแห่งต้องใช้ทั้งหลักสูตรเดิมและหลักสูตรต้นแบบใหม่ควบคู่กันไป ซึ่งสร้างความสับสนแก่สถานศึกษา ครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาดระบบการพัฒนาหลักสูตรที่มีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศ เช่น อังกฤษและออสเตรเลีย ที่มีการทบทวนและปรับปรุงหลักสูตรอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ

จิรัชว์ชยา ให้ข้อมูลถึงความแตกต่างของสองหลักสูตร ว่า หลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ. 2551 เน้นการพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็น โดยแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 8 กลุ่มสาระ การเรียนการสอนส่วนใหญ่เน้นการถ่ายทอดความรู้จากครูไปยังนักเรียนเพื่อให้จดจำและทำความเข้าใจเนื้อหา ซึ่งทำให้การประเมินผลทำได้ง่ายผ่านการสอบวัดความรู้ แต่ก็อาจทำให้ผู้เรียนขาดทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง

ขณะที่ หลักสูตรฐานสมรรถนะ 2568 ได้เปลี่ยนเป้าหมายจากการเน้น “สิ่งที่ต้องรู้” ไปเป็นการเน้น “สิ่งที่ต้องทำได้” โดยมุ่งพัฒนา “สมรรถนะ” หรือความสามารถในการนำความรู้ ทักษะ และเจตคติมาใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการปรับโครงสร้างเวลาเรียนเป็นปีละ 800 ชั่วโมง จากเดิมที่ใช้เวลาเรียนปีละไม่น้อยกว่า 1,200 ชั่วโมง และปรับรูปแบบการวัดและประเมินผล จากการให้เกรดมาเป็นการประเมิน 4 ระดับความสามารถได้แก่ 1) เริ่มต้น 2) พัฒนา 3) ชำนาญ และ 4) เชี่ยวชาญ โดยใช้ 2 แกนหลักในการประเมิน ได้แก่

  1. ความรู้พื้นฐานสำหรับพัฒนาทักษะพื้นฐาน  ประกอบด้วย การอ่าน (Reading Literacy) ความรู้และความการเขียน (Writing Literacy) และคณิตศาสตร์ (Numeracy)
  2. ความรู้พื้นฐานสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน (Functional Literacy) ประกอบด้วย 5 หลักเกณฑ์ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี เศรษฐกิจและการเงิน สังคมและพลเมือง  ศิลปะวัฒนธรรมและสุนทรียภาพและสุขภาพกายและจิต

ร่วมกันออกแบบอนาคตการศึกษาไทย

คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค เล็งเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคด้านการศึกษาโดยตรง โดยเฉพาะสิทธิในการเข้าถึงหลักสูตรที่มีคุณภาพ ทันสมัย และสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนและความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการวางรากฐานหลักสูตรใหม่ที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้เรียนและสังคมอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาของการจัดเวทีในครั้งนี้

“การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาไทยครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะอนาคตนักเรียนคือเรื่องที่เราทุกคนมีส่วนร่วมได้ สภาผู้บริโภคขอเชิญชวนผู้ปกครอง ครู นักเรียน และประชาชนทั่วไป มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมกันออกแบบอนาคตการเรียนรู้ไปด้วยกันในเวทีนี้” จิรัชว์ชยากล่าวทิ้งท้าย

ติดตามเวทีสาธารณะออนไลน์  “ลูกเราเรียนอะไร : ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษา” ในวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2568 เวลา 19.00 – 20.00 น. ถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง YouTube และ Facebook: สภาองค์กรของผู้บริโภค

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง