เจาะลึก “สายสื่อสาร” ภาคเหนือภัยใกล้ตัว ที่รัฐยังแก้ไม่สำเร็จ

เจาะลึก “สายสื่อสาร” ภาคเหนือภัยใกล้ตัว ที่รัฐยังแก้ไม่สำเร็จ

ทุกวันนี้ประชาชนในหลายจังหวัดภาคเหนือยังเผชิญกับปัญหา “สายสื่อสารมรณะ” ที่ห้อยต่ำ รกรุงรัง และไม่ได้ใช้งาน ซึ่งกลายเป็นโจทย์ใหญ่ด้านความปลอดภัยสาธารณะ แม้ที่ผ่านมาจะมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เร่งจัดระเบียบสายสื่อสารมาตั้งแต่ปี 2564 แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยหากผลักดันแก้ไขร่วมกันในระดับประเทศ จะช่วยยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ในระยะยาว

ลาภิศ ฤกษ์ดี หัวหน้าหน่วยงานเขตพื้นที่ภาคเหนือ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ภาพรวมปัญหาสายสื่อสารที่ไม่ปลอดภัย ได้รับข้อมูลสะสมจากการร้องเรียนทั้งทางแอปพลิเคชัน การไฟฟ้า และการแจ้งผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพบปัญหาในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งน่าน พะเยา เชียงราย ลำปาง ลำพูน และ เชียงใหม่ ที่มีการร้องเรียนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2566-30 เม.ย.2568 รวม 339 เรื่อง รวมถึงผลการสำรวจรับฟังความคิดเห็นผลกระทบของปัญหาสายสื่อสารที่ละเมิดสิทธิประชาชน ภาคเหนือที่มีผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 1,229 ราย มีผู้ตอบปัญหาสายสื่อสารที่ไม่ได้รับการจัดระเบียบส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภค คือ อุบัติที่เกิดจากสายสื่อสารที่ห้อยต่ำ มากถึง 92.1% รองลงมาคือความสวยงามของเมือง 55.5% ลำดับที่สาม คือสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ 38.4%

สำหรับปัญหาหลักในพื้นที่ภาคเหนือที่พบ แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักได้แก่ 1. การพบสายสื่อสารที่รกรุงรัง ขัดขวางถนนและทางเดิน 2. สายสื่อสารพาดผ่านบ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต และ 3. สายสื่อสารไม่ได้ใช้งาน ถูกทิ้งไว้ ไม่เก็บกวาด ทำให้กระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน นอกจากเสี่ยงอุบัติเหตุแล้ว จากการติดตามของประชาชนที่เข้าไปยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า การแก้ไขปัญหาของหน่วยงานยังใช้เวลานาน 29–101 วัน และเมื่อเกิดความเสียหาย ประชาชนได้รับค่าชดเชยเพียง 10,000–20,000 บาท ทั้งที่หลายกรณีต้องพักรักษาตัวนาน ทำให้ค่าเยียวยาไม่มีความเหมาะสมแต่อย่างใด

ขณะเดียวกันจากการสำรวจข้อมูลเชิงลึกปัญหาในภาคเหนือ ต่างมีปัญหาและข้อเสนอรายจังหวัดและแนวทางเสนอให้ภาครัฐร่วมแก้ไขหลากหลาย ประกอบด้วย 5 จังหวัด

จังหวัดน่าน สายพาดผ่านบ้าน–สายเก่าถูกทิ้งกลางเมือง

จังหวัดน่านถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประชาชนสะท้อนปัญหาสายสื่อสารไม่ปลอดภัยมากที่สุดในภาคเหนือ จากข้อมูลการร้องเรียนที่สภาผู้บริโภคได้รับ ซึ่งมีปัญหาหลักเกิดขึ้นทั้งในเขตเมืองและชุมชน โดยเฉพาะสายสื่อสารที่พาดผ่านบ้านของประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดความรำคาญ แต่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้อยู่อาศัยในบ้าน หากสายเกิดชำรุดหรือเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจร รวมถึงมีสายเก่าที่เลิกใช้งานแล้วแต่ถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่เก็บกวาด ส่งผลให้เส้นทางสัญจรในเมือง โดยเฉพาะถนนสายหลักและชุมชนหนาแน่นไปด้วยสายระโยงระยาง

ขณะเดียวกันมีเสียงสะท้อนจากประชาชนหลายพื้นที่ระบุว่า สายที่พาดผ่านหลังคาบ้านหรือระเบียง สร้างความกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน รวมถึงสายที่ไม่ได้ใช้งานแล้วยังถูกแขวนค้างอยู่บนเสาไฟฟ้า กลายเป็น “กับดัก” ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา เช่น การห้อยต่ำจนเกี่ยวรถจักรยานยนต์ หรือการหล่นลงมากลางถนนเมื่อสายเสื่อมสภาพ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน แต่ส่งผลให้ทัศนียภาพของเมืองเสียหาย และกระทบต่อการท่องเที่ยวที่จังหวัดน่านพยายามพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ทางด้านข้อเสนอของสภาผู้บริโภคจังหวัดน่าน คือ การให้หน่วยงานที่ดูแลในพื้นที่ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ออกมาตรการเข้มงวดรื้อถอนสายไม่ใช้งาน พร้อมจัดตั้ง คณะกรรมการระดับจังหวัด ที่มีสภาผู้บริโภคและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมติดตาม เพื่อให้การแก้ไขมีความต่อเนื่องและยั่งยืน สร้างผลดีต่อประชาชนมากที่สุด

จังหวัดเชียงราย สายชำรุด–เสื่อมสภาพ เสี่ยงอุบัติเหตุซ้ำซาก

เชียงรายเป็นอีกจังหวัดที่ประชาชนสะท้อนปัญหาสายสื่อสารไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะสายสื่อสารที่เสื่อมสภาพ ชำรุด และห้อยต่ำในเขตเมือง หลายเส้นขาดความมั่นคงแข็งแรง แต่กลับยังคงถูกแขวนไว้บนเสาไฟฟ้า รวมถึงสายที่ไม่ได้ใช้งานแล้วแต่ยังไม่ถูกรื้อถอน ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้สัญจรอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ได้ส่งผลให้ประชาชนหลายรายประสบเหตุรถจักรยานยนต์เกี่ยวสายห้อยต่ำจนล้มได้รับบาดเจ็บ และแม้จะแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาก็มักได้รับการแก้ไขล่าช้า

สำหรับข้อเสนอของสภาผู้บริโภคเชียงราย คือ การผลักดันให้มี ฐานข้อมูลจุดเสี่ยง (Hotspot) และจัดทำแผนที่ระบบข้อมูลสารสนเทศ (GIS) ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ แจ้งเหตุ และติดตามการแก้ไขได้ทันที

จังหวัดพะเยา อุบัติเหตุจากสายห้อยต่ำในเขตเทศบาล

จังหวัดพะเยาพบการร้องเรียนจำนวนมากจากประชาชน โดยเฉพาะในเขตเทศบาล ที่สายสื่อสารรกรุงรังเต็มเสาไฟ และห้อยต่ำจนเกิดอุบัติเหตุจริงกับประชาชน เช่น รถจักรยานยนต์ล้มจากการเกี่ยวสาย

ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทัศนียภาพเมือง แต่เป็นภัยที่สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินโดยตรง

สำหรับข้อเสนอของสภาผู้บริโภคจังหวัดพะเยา คือ การบังคับให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมต้องทำ สัญญาประกันความเสียหายหากสายก่ออันตรายต่อประชาชน พร้อมกับเร่งรื้อถอนสายไม่ได้ใช้งานออกจากเสาไฟฟ้าให้หมดไป

จังหวัดลำพูน สายชำรุด ภาพลักษณ์เมืองเสียหาย

ลำพูนเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบเชิงภาพลักษณ์อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวและมีมรดกทางวัฒนธรรม แต่เต็มไปด้วยสายสื่อสารที่ชำรุดและทิ้งค้างไว้โดยไม่มีการเก็บกวาด สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่น่ามอง และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ผลกระทบจากปัญหานี้ไม่ได้มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนเท่านั้น แต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก

สำหรับข้อเสนอของสภาผู้บริโภคลำพูน คือ การให้ กฟภ. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับผู้ประกอบการ ดำเนินการวางแผนเก็บสายปีละไม่น้อยกว่า 10 กิโลเมตร และต้องเปิดเผยแผนงานต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่าเกิดการแก้ไขจริง

จังหวัดลำปาง สายพาดขวางถนน เป็นจุดเริ่มต้นเหตุอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

จังหวัดลำปางพบปัญหาสายสื่อสารจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้งานแต่ยังแขวนไว้ รวมถึงบางเส้น พาดขวางถนนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ประชาชนจำนวนมากแสดงความกังวลต่อความปลอดภัย และตั้งคำถามถึงมาตรการบำรุงรักษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการแก้ไขบ้างเป็นกรณี แต่ยังไม่เป็นระบบหรือมาตรฐานที่ชัดเจน ส่งผลให้ความเสี่ยงยังคงอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้สัญจร

สำหรับข้อเสนอของสภาผู้บริโภคลำปาง คือ การให้ กฟภ. เร่งแก้ไขระเบียบ พร้อมบังคับผู้ประกอบการตรวจสอบและรื้อถอนสายไม่ได้ใช้งาน รวมถึงให้มีการทำสัญญาประกันภัยความรับผิดชอบ เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุที่เกิดจากสายสื่อสาร

อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินภาพรวม 5 จังหวัด ต่างมีปัญหาใหญ่คือ สายไม่ได้ใช้งานยังถูกแขวนไว้บนเสาไฟฟ้าและกลายเป็นต้นตอของอันตราย ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน และภาพลักษณ์ของเมือง โดยสภาผู้บริโภคจึงเสนอแนวทางเชิงระบบ ได้แก่ ทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการจังหวัดที่มีผู้แทนประชาชนร่วมกำกับ การจัดทำกองทุนเยียวยาจากผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุสายสื่อสาร การบังคับทำสัญญาประกันภัยความเสียหายต่อประชาชน การกำหนดโควตาเก็บสายประจำปี พร้อมเปิดเผยแผนต่อสาธารณะ การจัดทำฐานข้อมูลจุดเสี่ยง (Hotspot) และจัดทำแผนที่ระบบข้อมูลสารสนเทศ (GIS) ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายอย่างสะดวกที่สุด

“จากการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงมีข้อเสนอแนะว่าควรมีคณะกรรมการกำกับเร่งรัดการจัดระเบียบสายสื่อสารระดับจังหวัด ที่มี 21 ตัวแทนจาก สำนักงาน กสทช. สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสภาองค์กรของผู้บริโภค ปรับปรุงระบบสายสื่อสาร ของผู้ประกอบกิจการให้มีสายสื่อสารปลายทางเพียงรายเดียว (Single Last Mile) ขอให้ผู้ประกอบการแก้ไข จัดเก็บสายที่ถูกยกเลิกแล้วทันทีหลังที่ลูกค้ายกเลิก และควรมีกองทุนสำหรับการเยียวยา กรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากสายสื่อสาร” ลาภิศ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้มีมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2564 ในเรื่อง การจัดระเบียบสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้า มาจากมีการขยายโครงข่ายโทรคมนาคมเพื่อให้บริการแก่ประชาชนเพิ่มมากขึ้นทุกพื้นที่ทั้ง กทม. และต่างจังหวัด ส่งผลให้มีการพาดสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าของทั้งการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่มีความหนาแน่นและไม่เป็นระเบียบ รวมทั้งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอยู่บ่อยครั้ง ครม. จึงมีมติมอบหมายให้ สำนักงาน กสทช. ดำเนินการร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนบูรณาการสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าในเส้นทางหลัก ทั้งในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัด แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สภาผู้บริโภคตรวจสอบพบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขในเรื่องนี้อย่างจริงจัง รวมถึงบางส่วนอาจต้องใช้เวลานาน และสร้างผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้ได้จัดทำรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สำนักงาน กสทช. กฟน.  และ กฟภ. เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหา สายสื่อสารที่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค พร้อมเสนอให้มีการจัดทำกองทุนขึ้นมาเพื่อร่วมเยียวยาภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ลาภิศ กล่าวเสริมว่า ปัญหาเรื่องสายสื่อสารเป็นภัยใกล้ตัวของทุกคน ที่อาจประสบได้ทั้งหมด เพราะเมื่อไปสำรวจข้อมูลในแต่ละจังหวัดต่างมีปัญหาในระดับแตกต่างกัน และมีการร้องเรียนผ่านหน่วยงานต่างๆ มาตลอด โดยหากสามารถผลักดันร่วมแก้ไขปัญหานี้ได้ในระดับประเทศ เชื่อว่าจะสร้างผลดีต่อคนไทย ร่วมสร้างความปลอดภัยและร่วมยกระดับคุณภาพชีวิต

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง