จองง่ายแต่คืน (เงิน) ยาก กระแส ยกเลิกคอนเสิร์ต ป่วนผู้จองบัตรล่วงหน้า

จองง่ายแต่คืน (เงิน) ยาก กระแส ยกเลิกคอนเสิร์ต ป่วนผู้จองบัตรล่วงหน้า

ในช่วงปลายปีมักมักเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เนื่องจากจะมีการจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ใหญ่เป็นประจำทุกปี หลายคนจึงเตรียมซื้อตั๋วคอนเสิร์ต งานเฟสติวัล หรืองานบันเทิงใหญ่ ๆ ไว้ล่วงหน้า บางครั้งก่อนงานจริงหลายเดือนเพื่อมั่นใจว่าได้ที่นั่งที่ดีที่สุด แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ปรากฏการณ์ ยกเลิกคอนเสิร์ต และงานบันเทิงช่วงปลายปีเกิดขึ้นจนทำให้ผู้บริโภคที่คาดหวังความสนุกสนานจากกิจกรรมเหล่านี้ระส่ำระสาย เนื่องจากได้เสียเงินจำนวนมากในการจองบัตรงานที่ถูกยกเลิกอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคพบว่า มีผู้จัดงานหลายแห่งที่ประกาศ ยกเลิกคอนเสิร์ต และอีเวนต์บันเทิงในช่วงปลายปีนี้ไปแล้วอย่างน้อยรวม 5 งาน โดยไม่ได้แจ้งสาเหตุว่าทำไมถึงยกเลิกกะทันหัน ท่ามกลางเสียงบ่นและความผิดหวังของแฟน ๆ ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่แค่ความผิดหวัง แต่ผู้บริโภคถูกทิ้งไว้กับภาระทางการเงินที่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะคนที่อยู่ไกลจากสถานที่จัดงานคอนเสิร์ต ที่นอกจากจ่ายเงินจองตั๋วล่วงหน้าแล้ว ยังได้จองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม ที่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าเช่นกัน ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่บวกเพิ่มขึ้นมากไปอีก ซึ่งเมื่อมีการยกเลิกกิจกรรม จึงไม่เกิดความแน่ชัดว่าจะได้รับเงินคืนจากการจองตั๋วต่าง ๆ ในเวลาใด

จากเหตุการณ์ในช่วงระหว่าง ปี 2564 – 2568 สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาการไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือไม่ได้รับเงินคืนในกรณีการจัดอีเวนต์และบัตรคอนเสิร์ตที่ยกเลิก จำนวน 9,053 กรณี สร้างมูลค่าความเสียหายรวมถึง 32.97 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาเรื่องการคืนเงินและการไม่ปฎิบัติตามข้อตกลงในสัญญา คือ 1. ปัญหายกเลิกคอนเสิร์ต แต่ไม่คืนเงิน หรือคืนเงินล่าช้า รวมถึงไม่มีมาตรการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค 2. ผู้บริโภคมีการสมัครสมาชิกเสียค่าบริการเพิ่มเติม เพื่อใช้สิทธิการกดบัตรล่วงหน้าแต่ไม่สามารถเข้าระบบได้ในวันกดบัตร 3. กรณีซื้อบัตรเข้าชมออนไลน์ระหว่างการชมผ่านระบบผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ (ออนไลน์สตรีมมิง) ไม่สามารถชมได้ มาจากจากระบบขัดข้อง และ 4. ค่าประกันบัตรคอนเสิร์ตเว็บที่จำหน่ายมักมีการตั้งค่าในการเลือกไว้ก่อน เมื่อผู้บริโภคไม่สังเกต อาจทำให้ต้องชำระค่าบริการโดยไม่ยินยอม

ความรับผิดชอบที่ผู้จัดงานปฏิเสธไม่ได้

ทั้งนี้ผู้บริโภคเมื่อต้องตัดสินใจซื้อบัตรคอนเสิร์ตหรืออีเวนต์ใหญ่ ๆ ไม่ได้เป็นแค่การจ่ายเงินเพื่อแลกกับที่นั่ง แต่เป็นการลงทุนลงแรงทั้งเวลาและความรู้สึก เพื่อหวังจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่น่าจดจำ การที่ผู้จัดงานประกาศยกเลิกโดยที่ผู้บริโภคไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนี้ ทำให้ผู้จัดงานอยู่ในฐานะผู้ผิดสัญญา ซึ่งตามหลักกฎหมายและหลักจริยธรรมแล้ว ผู้ประกอบการต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่การประกาศว่าจะคืนเงิน แต่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และที่สำคัญคือรวดเร็วที่สุด

แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นในความเป็นจริงคือ ผู้จัดงานบางรายพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยข้ออ้างต่าง ๆ นานา เช่น ‘กำลังตรวจสอบข้อมูล’ ‘รอการอนุมัติจากผู้บริหาร’ หรือ ‘ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ’ ข้ออ้างเหล่านี้เป็นเหมือนกับม่านที่ใช้บังหน้าเพื่อยืดเวลาในการคืนเงิน ซึ่งเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพราะเงินที่จ่ายไปนั้นไม่ใช่เงินกู้ยืม แต่เป็นเงินที่ผู้บริโภคจ่ายไปเพื่อแลกกับสินค้าหรือบริการที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เมื่อสินค้านั้นไม่มีอยู่จริง ผู้ประกอบการก็ต้องมีหน้าที่คืนเงินนั้นทันที

ยื้อเวลาคืนเงิน คือการเอาเปรียบผู้บริโภค

ในแง่ของกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ประกอบการมีหน้าที่ในการให้บริการตามที่ได้โฆษณาไว้ เมื่อเกิดเหตุที่ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้ตามที่ตกลงกันไว้หรือมีการยกเลิกการจัดงาน ถือว่าผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาและมีสิทธิที่จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน รวมทั้งการต้องคืนโดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น การให้กรอกแบบฟอร์มที่ต้องใช้เวลานาน หรือการกำหนดวัน – เวลาที่คืนเงินที่ยาวนานเกินไป ซึ่งการคืนเงินที่ล่าช้าก็เหมือนกับการที่ผู้ประกอบการได้ดอกเบี้ยจากเงินของผู้บริโภคไปโดยที่ผู้บริโภคไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ เลย

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของสิทธิต้องได้รับเงินคืนทันที การกำหนดให้ผู้บริโภครอ 30 วัน, 45 วัน, หรือ 60 วัน จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะผู้ประกอบการควรมีการจัดการและเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินอยู่แล้ว เช่น มีการสำรองเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อรองรับการคืนเงินหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้น การปล่อยให้ผู้บริโภคต้องรอคอยจึงสะท้อนถึงความไม่พร้อมและความไม่เป็นมืออาชีพของผู้จัดงาน

สิทธิต้องได้มาด้วยการลงมือ

ทั้งนี้หากผู้บริโภคเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวและรู้สึกว่ากำลังถูกเอาเปรียบ อย่าลังเลที่จะปกป้องสิทธิของตนเอง โดยขั้นตอนที่สามารถทำได้ มีดังนี้

  • รวบรวมข้อมูลและหลักฐานให้ครบถ้วน เก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ใบยืนยันคำสั่งซื้อ, อีเมลยืนยัน หรือ ข้อความ (SMS) จากผู้จำหน่ายบัตร, หลักฐานการโอนเงิน, ข้อความโฆษณา, ประกาศยกเลิกงาน, ไปจนถึงประกาศแนวทางการคืนเงินที่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม
  • ทำหนังสือบอกเลิกสัญญา เมื่อผู้จัดงานไม่รับผิดชอบ ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและขอเงินคืน โดยการทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรส่งไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้จัดและตัวแทนจำหน่ายเพื่อให้รับผิดชอบ
  • แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่มีความคืบหน้าจากผู้จัดหรือตัวแทนจำหน่ายบัตร สามารถร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ยังสามารถร้องเรียนออนไลน์กับสภาผู้บริโภค ที่เว็บไซต์สภาผู้บริโภค

ผู้บริโภคทุกคนไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง การร้องเรียนไม่ใช่แค่เพื่อเรียกเงินคืน แต่คือการสร้างแรงกดดันเชิงสังคม เพื่อให้ผู้จัดงานและหน่วยงานรัฐเห็นว่าปัญหานี้ไม่สามารถถูกเพิกเฉยได้อีกต่อไป

ถึงเวลายกมาตรฐานใหม่ธุรกิจบันเทิงไทย

การยกเลิกงานคอนเสิร์ตอาจเกิดจากเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ศิลปินเจ็บป่วย ปัญหาด้านความปลอดภัย หรือเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกการเอารัดเอาเปรียบคือการที่ผู้ประกอบการพยายามที่จะไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองอย่างเต็มที่

อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความผิดหวัง แต่คือการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่เก็บเงินทั้งปีเพื่อซื้อตั๋วคอนเสิร์ต การไม่ได้รับเงินคืนตรงเวลา เท่ากับเป็นการบังคับให้ผู้บริโภคต้องรอคอยเงินของตัวเองจากผู้ประกอบการ โดยที่ไม่ได้มีการยินยอม สิ่งเหล่านี้เป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภคขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง

สิ่งที่สังคมควรถกเถียงกันต่อไปคือ จะทำอย่างไรให้ปัญหานี้ไม่เกิดซ้ำซาก หนึ่งในแนวทางที่ควรพิจารณาคือ หน่วยงานภาครัฐควรออกข้อบังคับที่ชัดเจน เช่น กำหนดกรอบเวลาการคืนเงินไม่เกิน 30 วันหลังจากการยกเลิก และต้องมีบทลงโทษที่เด็ดขาดกับผู้จัดงานที่เพิกเฉยต่อสิทธิผู้บริโภค

ข่าวที่เกี่ยวข้อง