Getting your Trinity Audio player ready... |
คณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกับสภาผู้บริโภค และไทยแพน สุ่มตรวจผักผลไม้นำเข้าด่านตรวจเชียงของ พบสารพิษเกินมาตรฐาน 7 ใน 10 ตัวอย่าง ร่วมผลักดันข้อเสนอเร่งตั้งระบบแจ้งเตือน เรียกคืนสินค้าอันตรายทันที

จากการสุ่มตรวจผักและผลไม้ที่ด่านเชียงของจังหวัดเชียงราย พบผักผลไม้ปนเปื้อนสารพิษเกินมาตรฐาน 7 ใน 10 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 70 โดยได้พบสารเคมีในจำนวนมากถึง 37 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ สารคลอร์ไพริฟอส ที่ตกค้างมากถึง 0.78 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สารพิษชนิดนี้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายร้ายแรงต่อผู้บริโภคเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ยังมีการพบผักที่ไม่มีสารพิษใดๆ ตกค้าง คือ กะหล่ำปลี ส่วนผักกาดขาวและหัวไชเท้าพบสารตกค้างต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ในขณะที่ผักที่เหลือทั้งหมดมีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน หนึ่งในสาเหตุที่ด่านไม่สามารถสกัดผักผลไม้ที่มีสารพิษตกค้างได้เป็นเพราะขาดเครื่องมือตรวจที่ทันสมัย และระบบจัดการที่สามารถติดตามและเรียกคืนสินค้าได้ที่หน้าด่านก่อนถูกส่งไปถึงมือผู้บริโภค
ผลการสุ่มตรวจครั้งนี้ได้รับการเปิดเผยในเวทีแถลงข่าวในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่มีคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชนสิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภาร่วมกับสภาผู้บริโภค และเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ทั้งนี้ เป็นการแถลงข่าวการคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหาร จากกรณีลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยผักและผลไม้นำเข้า ณ ด่านศุลกากรเชียงของ
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เผยว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 คณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อสุ่มตรวจผักและผลไม้ 10 ชนิด พบว่า มีผักและผลไม้ 7 ชนิด ที่ตกมาตรฐาน หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ทางคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการจึงได้มีข้อเสนอเพื่อปรับปรุงระบบ และยกระดับอาหารที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ โดยมีข้อเสนอที่สำคัญอย่างน้อย 6 ประเด็น คือ
- การเพิ่มงบประมาณและกำลังคน – เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสามารถตรวจสอบอาหารนำเข้าได้อย่างทันท่วงที
- การสร้างระบบการรับรอง – ควรใช้ระบบการรับรองที่เชื่อถือได้จากห้องทดลองที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานระหว่างประเทศ
- การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือน – การสนับสนุนระบบเฝ้าระวังที่ประสานงานจากทุกภาคส่วนเพื่อแจ้งเตือนเกี่ยวกับอาหารที่ไม่ปลอดภัย
- การกำหนดบทลงโทษ – เพื่อให้มีมาตรการที่เข้มงวดกับผู้กระทำผิดที่นำเข้าสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
- การตรวจสอบต้นทาง – ตรวจสอบฟาร์มที่ผลิตอาหารก่อนเข้ามานำเข้า เพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง
- การดำเนินการเรียกคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัย – หากพบปัญหาในระหว่างที่สินค้านำเข้าอยู่ในตลาด ต้องมีระบบที่จะสามารถเรียกสินค้าเหล่านั้นกลับได้ทันที
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ปรับปรุงพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ที่ใช้มาอย่างยาวนานกว่า 46 ปี เพื่อให้สอดรับกับบริบทของอาหารยุคใหม่และสถานการณ์ด้านสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยต้องมีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยที่สามารถประสานงานกับทุกภาคส่วนได้อย่างทันท่วงที
ด้าน ปรกชล อู๋ทรัพย์ อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภคได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ด่านนำเข้าชายแดนเชียงของ จังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศุลกากร กองด่านอาหารและยา และกรมวิชาการเกษตร โดยได้สุ่มเก็บตัวอย่างผักและผลไม้ไปวิเคราะห์หาสารพิษตกค้างในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 17025 ผลการตรวจพบสารพิษตกค้างรวมถึง 37 ชนิด โดยหนึ่งในนั้นเป็นสารอันตรายที่ประเทศไทยประกาศห้ามใช้แล้ว คือ คลอร์ไพริฟอส ซึ่งอยู่ในประเภทวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 พบตกค้างในระดับสูงถึง 0.78 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในผักกาดหอมโครัลลีฟ
ทั้งนี้ ในบรรดาตัวอย่างที่ตรวจพบ มีเพียงกะหล่ำปลีที่ไม่พบสารตกค้างใด ๆ ขณะที่ผักกาดขาวและหัวไชเท้าพบสารตกค้างต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ส่วนผักที่เหลือทั้งหมดมีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน รวมถึงบางตัวอย่างที่พบมากถึง 12 ชนิดในรายการเดียว ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ ทั้งก่อมะเร็ง รบกวนฮอร์โมน เป็นพิษต่อประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกัน

ปรกชลย้ำว่าปัจจุบันหน้าด่านยังขาดเครื่องมือที่ทันสมัยและระบบจัดการแบบเบ็ดเสร็จ ทำให้ผักผลไม้ที่มีสารพิษเหล่านี้หลุดเข้าสู่ตลาดบริโภคโดยไม่มีการแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที จึงเสนอให้เร่งจัดตั้งระบบ “แจ้งเตือน-เรียกคืน” สินค้าที่ไม่ปลอดภัยจากต้นทางถึงปลายทาง พร้อมกำหนดให้สินค้านำเข้าต้องมีฉลากภาษาไทยชัดเจน เพื่อติดตามแหล่งที่มาหากเกิดปัญหา และสามารถเรียกคืนจากตลาดหรือผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“คนที่ตรวจเจอสารพิษตั้งแต่หน้าด่าน ควรมีอำนาจในการปฏิเสธผักผลไม้เหล่านั้นไม่ให้เข้าสู่ประเทศ แต่หากสินค้าใดหลุดเข้าไปในตลาดแล้ว เราต้องมีระบบที่ติดตามและเรียกคืนจากผู้บริโภคได้ทันที นี่คือหัวใจสำคัญของการจัดการผักผลไม้ที่ไม่ปลอดภัยในท้องประหลาดในประเทศ” นางสาวปรกชลกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
– ผนึกกำลัง ระบบแจ้งเตือนภัย อาหาร-ยา-ผลิตภัณฑ์สุขภาพ
– จุดอ่อนความปลอดภัยอาหาร หลังพบสารพิษตกค้างพุ่ง 75%
นอกจากนี้ นิฟาริด ระเด่นอาหมัด ประธานคณะอนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค ได้กล่าวถึงมุมมองที่ถูกเสนอในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค คือการผลักดันระบบตรวจสอบย้อนกลับถึงต้นทางการผลิต เช่น การลงพื้นที่ตรวจฟาร์มและสวนเกษตรของผู้ผลิตโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้าได้อย่างชัดเจนในจุดเดียว (One Stop) พร้อมกับเสนอให้เพิ่มบุคลากรและศักยภาพในการตรวจสอบ เพื่อลดความยุ่งยากในกระบวนการนำเข้า และหากมีอุปสรรคในการนำเข้าสินค้า ก็อาจถือเป็นโอกาสในการส่งเสริมการผลิตพืชผักทดแทนในประเทศ ช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย และลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
รวมถึง ยังมีข้อเสนอให้สร้างสมดุลในระบบการค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยมาตรฐานเดียวกันทั้งฝั่งนำเข้าและส่งออก เช่นเดียวกับที่ต่างประเทศต้องการความมั่นใจในการตรวจสอบถึงแหล่งผลิตสินค้าไทยก่อนอนุญาตให้นำเข้า
“การบริหารจัดการอย่างสมดุลระหว่างความปลอดภัยของผู้บริโภคกับความสะดวกในการค้าขาย จะเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งระบบ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราทำในภารกิจ แต่อย่างไรก็ตามเราอาจจะต้องขยายภารกิจขอบเขตภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมมากขึ้น” ประธานคณะคณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าว


