Ribbon

สะพรึง! ฝุ่นพิษมาแล้ว เจ็บจริง-จ่ายจริง ไร้วี่แวว “ใครก่อต้องจ่าย”

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคในประเทศไทยต้องเผชิญปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศประสบกับสภาพอากาศที่วิกฤตและติดอันดับร้ายแรงในโลก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ทั้งในด้านสุขภาพและภาระ “ต้นทุนการดำเนินชีวิต” ที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามมา

ทั้งนี้จากการสอบถาม “ผู้บริโภค” ที่ใช้ชีวิตในพื้นที่ กทม. ใจกลางเมือง ซึ่งประสบภาวะฝุ่นเกินมาตรฐาน พบว่าต้องเผชิญปัญหาสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงทุกปี เช่น มีอาการจมูกแห้งจนมีเลือดเป็นคราบอยู่ด้านใน และเมื่อล้างจมูกหรือเคาะเบา ๆ ก็มีเลือดปนออกมา นอกจากประสบปัญหาเรื่องสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคยังต้องมี “ต้นทุนค่าครองชีพด้านอากาศ” ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งการต้องเลือกซื้อหน้ากากแบบพิเศษเพื่อป้องกันฝุ่น รวมถึงต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการเลือกซื้อน้ำเกลือล้างจมูกในทุกวัน รวมถึงกำลังพิจารณาซื้อเครื่องฟอกอากาศ เนื่องจากสถานการณ์ฝุ่นยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย

เสียงสะท้อนจากผู้บริโภคกล่าวต่อว่า “ต้องล้างจมูกทุกวันเพราะมีเลือดออก ทุกวันนี้ต้องจ่ายเพื่อหายใจ แต่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” ทั้งหมดนี้เป็นภาระที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเอง ทั้งค่าอุปกรณ์ป้องกัน ค่ายา ค่าหมอ หรือแม้แต่ค่าเดินทางที่ต้องปรับเปลี่ยน หากไม่มีมาตรการเยียวยาหรือช่วยเหลือโดยตรง ปัญหานี้จะเกิดขึ้นซ้ำทุกปี

ฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่แค่แสบจมูก แต่เป็นความเสี่ยง ‘มะเร็งปอด’

ปัญหาฝุ่นไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงอาการแสบจมูกหรือภาระค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่เป็นภัยร้ายต่อสุขภาพในระยะยาว องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุชัดเจนว่า PM 2.5 ถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งระดับ 1 ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับเทียบเท่ามลพิษจากควันบุหรี่ แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคที่สูดอากาศจากฝุ่นพิษในกรุงเทพฯ สามารถมีความเสี่ยงมะเร็งปอดได้เท่ากับคนสูบบุหรี่ แม้จะไม่เคยสูบบุหรี่เลยก็ตาม

สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มคนทำงานกลางแจ้ง กลุ่มคนใช้รถสาธารณะ กลุ่มเด็กเล็กที่ปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ทำงานในออฟฟิศที่อาศัยอยู่ติดถนนใหญ่

ขณะเดียวกันความร้ายแรงของผลกระทบได้รับการยืนยันจากกรมการแพทย์กับผู้บริโภคในประเทศไทย ระบุว่า มะเร็งปอดเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดของคนไทย โดยมีรายงานว่าคนไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปอดประมาณ 40 คนต่อวัน และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องมะเร็งปอดได้เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มคน กรณีของ “หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล” อายุ 29 ปี แพทย์ที่เป็นมะเร็งปอดระยะลุกลามทั้งที่ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงกรณีดาราและคนดังหลายรายที่ตรวจพบโรคเดียวกันจากสาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับบุหรี่ กรณีเหล่านี้สะท้อนว่า มะเร็งปอดไม่ใช่โรคของคนสูบบุหรี่อีกต่อไป แต่มาจากทั้งปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ปัญหาการเผาไหม้จากควันไอเสียรถยนต์ และมลพิษเรื้อรังในเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ประชาชนทุกคนกำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัว

ถึงเวลาประเทศไทยต้องมี “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” บังคับใช้อย่างจริงจัง

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากภาระค่าครองชีพที่ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นเพื่อป้องกันตนเองจากมลพิษที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคต้องถูกผลักให้รับภาระทั้งหมด เนื่องจากต้นตอปัญหาอยู่ที่นโยบายการจัดการอากาศและแหล่งกำเนิดมลพิษที่รัฐยังควบคุมไม่ได้อย่างจริงจัง

ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับ “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ในการหายใจอากาศที่ปลอดภัย สภาผู้บริโภคจึงสนับสนุนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.อากาศสะอาด อย่างจริงจัง กฎหมายนี้มีความสำคัญต่อการจัดทำ “โครงสร้างบริหารจัดการคุณภาพอากาศ” ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการกำหนดมาตรฐาน การตรวจสอบ การบังคับใช้กฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือ กลไกที่จะทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้ปัญหาดำเนินต่อไปจนคนส่วนใหญ่ต้องแบกรับผลกระทบ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน

สภาผู้บริโภคไม่เห็นด้วยกับโครงการที่เพิ่มมลพิษ ค้าน พ.ร.บ.ทางด่วน 2 ชั้น

นอกจากความต้องการกฎหมายที่เข้มแข็งแล้ว สภาผู้บริโภคยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจก่อให้เกิดมลพิษเพิ่มขึ้นในเมือง โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากไอเสียของรถยนต์และการก่อสร้าง ปัจจุบัน ภาครัฐกำลังดำเนินการขยายโครงการก่อสร้าง ทางด่วน 2 ชั้น (Double Deck) งามวงศ์วาน – พระราม 9 โครงการนี้เป็นการลงทุนสร้างถนนใหม่และส่งเสริมการใช้รถยนต์ ซึ่งจะทำให้ฝุ่น PM 2.5 จากการเผาไหม้ยานยนต์ยิ่งสูงขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ การลงทุนก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่นี้จึง ตรงกันข้ามกับแนวทางของประเทศที่แก้ปัญหาฝุ่นอย่างจริงจัง บทเรียนทั่วโลกชี้ชัดว่า การแก้ปัญหาฝุ่นที่ยั่งยืนต้องลดการพึ่งพารถยนต์ และเน้นการขยายขนส่งสาธารณะ การเดินหน้าโครงการนี้จึงขัดแย้งกับการเรียกร้องอากาศสะอาดในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค