Ribbon

บทเรียน “อินฟลูเอนเซอร์” กู้เงินดอกเบี้ย 48% ต่อปี ผู้บริโภคควรระวังกู้หนี้นอกระบบ เสี่ยงหนี้สะสมพุ่ง


ถอดบทเรียนอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำการกู้ยืมเงินนอกระบบและมีการตกลงด้วยปากเปล่า พร้อมมีการอ้างว่าได้คิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 48% ต่อปี ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ถึงกว่า 3 เท่า สภาผู้บริโภคขอเตือนผู้บริโภคให้เพิ่มความระมัดระวังสูงสุดในการกู้ยืมเงิน โดยเฉพาะกู้หนี้นอกระบบ ซึ่งมักจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด พร้อมทำให้เกิดปัญหาหนี้สินสะสมตามมาอย่างยาวนาน

บทเรียนจากการกู้ยืมเงินนอกระบบ ดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนดถึง 3 เท่า

กรณีที่ “อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังได้กู้ยืมเงินจากเพื่อนมาลงทุน” ถือเป็นบทเรียนสำคัญ โดยจากรายงานข่าวอ้างว่ามีการตกลงว่าจะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงถึง 4% ต่อเดือน หรือประมาณ 48% ต่อปี ซึ่งเป็นการตกลงด้วยปากเปล่าและไม่มีการทำสัญญา สำหรับอัตราดอกเบี้ย 48% ต่อปีนี้ สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งการทำสัญญากู้ยืมระหว่างบุคคลทั่วไปที่ต้องไม่เกิน 15% ต่อปี หรือ 1.25% ต่อเดือน รวมถึงการคิดดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดเช่นนี้ ทำให้ผู้กู้ไม่สามารถบริหารการเงินได้ และกลายเป็นปัญหาหนี้สินพอกพูน

ทั้งนี้การกู้ยืมในรูปแบบนี้ที่อาจคิดว่าง่ายและสะดวก รวมถึงไม่ได้ทำสัญญากันไว้ แต่เป็นการกู้ยืมหนี้นอกระบบ ที่ผู้บริโภคจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของการโดนคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดไปมากถึง 3 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจริงกับผู้บริโภคทั่วประเทศ รวมถึงอาจจะประสบปัญหาตามมาคือ ปัญหาการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม

ขณะเดียวกันสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนด้านการเงินและการธนาคารในรอบปี 2568 (ปีงบประมาณ ต.ค. 2567-ก.ย. 2568) สะท้อนถึงปัญหาการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรมว่ากำลังกระทบผู้บริโภคจำนวนมาก ทั้งการถูกเรียกเก็บค่าทวงหนี้ไม่เป็นธรรม/เกินจริง จำนวน 626 เรื่อง การถูกทวงหนี้วันละหลายครั้ง ข่มขู่ทำให้กลัว หรือถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปทวงหนี้กับญาติพี่น้อง จำนวน 521 เรื่อง และถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดกฎหมาย หรือหักดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด จำนวน 499 เรื่อง

คำแนะนำต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการกู้ยืมเงิน

ทั้งนี้เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของการกู้ยืมเงินนอกระบบ สภาผู้บริโภคแนะนำให้ผู้บริโภคตรวจสอบและทำความเข้าใจในเรื่องการทำสัญญากู้ยืมเงินอย่างรอบคอบทั้ง ควรตรวจสอบสถานะและใบอนุญาตของผู้ให้กู้ โดยข้อสำคัญควรเลือกทำสัญญากับควรเลือกกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน (Bank) เช่น ธนาคาร หรือบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non bank) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องกู้ยืมเงินกับบุคคลหรือที่ไม่ใช่สถาบันการเงินและบริษัทที่ไม่ได้กำกับโดยธปท. ถือว่ามีความเสี่ยงเป็นการเงินกู้นอกระบบ ผิดกฎหมาย และอาจนำไปสู่การข่มขู่ ยึดทรัพย์ หรือใช้ความรุนแรงตามมาได้

รวมถึงควรอ่านเงื่อนไขสัญญาให้ครบทุกหน้าพร้อมตรวจสอบรายละเอียดถี่ถ้วนก่อนลงชื่อ โดยควรอ่านสัญญา จำนวนเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย และวันที่ทำสัญญาให้รอบคอบ และขอสำเนาสัญญาทุกครั้งห้ามลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเด็ดขาด หรือสัญญาที่มีการเว้นช่องว่างผิดปกติ

พร้อมทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมทั้งหมด โดยควรพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Interest Rate – EIR) ซึ่งเป็นต้นทุนการกู้ยืมที่รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าจัดการเงินกู้ และค่าธรรมเนียมทำสัญญา และค่าใช้จ่ายทำให้ผู้กู้สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์สินเชื่อแต่ละบริษัทได้อย่างโปร่งใส

สำหรับความแตกต่างของดอกเบี้ย “คงที่” กับ “ลดต้นลดดอก”

รวมถึงทำความเข้าใจในเรื่องอัตราดอกเบี้ยคงที่ และอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาจากตัวเลข และทำให้วางแผนการเงินล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 1. ดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) โดยคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ขอสินเชื่อ และหารกับจำนวนงวดที่ต้องจ่าย ตลอดอายุสัญญา แม้ผู้กู้จ่ายค่างวดทุกเดือน แต่ดอกเบี้ยคิดเต็มเหมือนเดิมตามสัญญาที่ตกลงไว้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการความแน่นอนในการผ่อนชำระเงินแต่ละงวด แต่ยอดหนี้จะลดลงช้ากว่า

2.ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก (Effective Rate) เป็นดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนเงินต้นที่ผู้ขอสินเชื่อได้ชำระในแต่ละงวด โดยคำนวณจากยอดเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด โดยหากจ่ายต้นมากขึ้น ดอกเบี้ยเดือนถัดไปก็ลดลง ทำให้ยอดหนี้ลดลงได้เร็วมากกว่าและปิดยอดหนี้ได้เร็วขึ้น จึงเหมาะสมกับผู้ที่ทำสินเชื่อกู้เงินในระยะยาว เช่น สินเชื่อบ้าน เป็นต้น

นอกจากนี้กฎหมายกำหนดต่อผู้ให้กู้ห้ามคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย หรือ ดอกเบี้ยทบต้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากเป็นการเอาเปรียบและผิดกฎหมาย รวมถึงผู้บริโภคต้องรู้จักสิทธิของผู้กู้ตามกฎหมาย โดยผู้บริโภคมีสิทธิขอใบเสร็จรับเงินทุกครั้งที่ชำระเงินกู้ ผู้กู้มีสิทธิชำระหนี้ก่อนกำหนดได้ และผู้ให้กู้จะต้องคิดดอกเบี้ยเฉพาะวันที่ใช้เงินจริงเท่านั้น อีกทั้งควรเก็บข้อมูลหลักฐาน ทั้งเก็บสำเนาสัญญาและใบเสร็จรับเงินทุกครั้งเพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหาในภายหลัง

สำรวจอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมาย

ทั้งนี้เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ตกเป็นเหยื่อของการคิดดอกเบี้ยเกินจริง ควรสำรวจอัตราดอกเบี้ยตามเพดานที่กฎหมาย กำหนดไว้

  • สัญญากู้ยืมระหว่างบุคคลทั่วไป อัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 15% ต่อปี หรือ 1.25% ต่อเดือน
  • สินเชื่อส่วนบุคคล (ไม่ต้องใช้หลักประกัน): อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 25% ต่อปี
  • บัตรเครดิต อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 16% ต่อปี
  • สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ/ลิสซิ่ง อัตราดอกเบี้ยรวมทุกค่า (EIR) ไม่เกิน 24% ต่อปี
  • พิโกไฟแนนซ์ (Pico Finance): ดอกเบี้ยสูงสุด 36% ต่อปี
  • นาโนไฟแนนซ์ (Nano Finance): ดอกเบี้ยสูงสุด 33% ต่อปี
  • สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รถยนต์ใหม่ต้องไม่เกิน 10% ต่อปี รถยนต์ใช้แล้ว ต้องไม่เกิน 15% ต่อปี และ รถจักรยานยนต์ต้องไม่เกิน 23% ต่อปี

แนวทางแก้ปัญหาหนี้

สำหรับผู้บริโภคกำลังประสบปัญหาในการผ่อนชำระสินเชื่อต่างๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนทั้ง

1. ขอปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย โดยลูกหนี้สามารถขอขยายระยะเวลาผ่อน หรือลดอัตราผ่อนจ่ายช่วงแรกได้ โดยเจ้าหนี้จะพิจารณาตามความสามารถชำระหนี้

2. การเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนี้เสีย บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ค้างชำระเกิน 120 วัน โครงการนี้สามารถรวมแก้หนี้ในครั้งเดียวได้ พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3%-5% ต่อปี และเปลี่ยนเป็นผ่อนจ่ายรายงวดสูงสุด 10 ปี

3. โครงการปิดจบหนี้เรื้อรัง สำหรับผู้บริโภคที่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นนานเกิน 5 ปี สามารถเปลี่ยนหนี้บัตรเป็นหนี้ผ่อนจ่ายรายงวดสูงสุด 5 ปี พร้อมได้รับการลดดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 15% ต่อปี

อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคประสบปัญหาในการทำสัญญากู้ยืมเงิน รวมถึงมีข้อสงสัย หรือถูกเอาเปรียบ สามารถร้องเรียนได้ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โทร. 1213 กด 99 เพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ให้กู้ที่ถูกกฎหมายและร้องเรียนเกี่ยวกับสถาบันการเงิน พร้อมเก็บหลักฐานต่างๆ ไว้