
จากอาการปวดเมื่อยธรรมดา กลับกลายเป็นความพิการ ที่ขาเดินไม่ได้ข้างหนึ่ง เพราะ ความประมาททางการแพทย์ ที่ไร้ความรับผิดชอบ ผู้บริโภคต้องสู้ถึง 2 ปีกว่าจะได้รับความยุติธรรม
ใครจะคาดคิดว่า การไปหาหมอเพียงแค่ครั้งเดียว จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา
นี่คือเรื่องราวของ “นายเอ” (นามสมมุติ) หัวหน้าครอบครัวที่ทำงานเป็นช่างก่อสร้าง วันหนึ่งเขาเกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย จึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่า การตัดสินใจในวันนั้นจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต
“วันนั้นบอกกับคุณหมอว่ามันปวดเมื่อย พอบอกอาการเสร็จ หมอก็ให้ไปนอนรอบนเตียงเพื่อฉีดยาไดโคลฟีแนค ซึ่งหมอก็ไม่ได้สอบถามอาการ หรือตรวจสุขภาพเพิ่มเติม” นายเอกล่าว
หลังจากฉีดยา หายนะของชีวิตของชีวิตก็เริ่มต้น จากอาการรู้สึกชาที่สะโพก ก็ลามลงขาไปจนถึงปลายนิ้วเท้า
“มันไม่สามารถขยับขา และลงจากเตียงได้ คือมันทรุดลงไปเลย จนต้องให้คุณหมอมาประคองลงจากเตียง”
แพทย์ที่คลินิกได้วินิจฉัยเบื้องต้นว่าจะหายภายใน 3 เดือน แต่เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาล กลับพบว่าต้องใช้เวลารักษานานถึง 5 เดือนถึง 1 ปี และอาจไม่สามารถเดินได้ตามปกติอีก
“ขาข้างนั้นมันไม่มีความรู้สึก เวลาคลานข้อเท้ามันตก และขูดพื้นไป แม้แต่เลือดออกก็ไม่รู้สึกตัว” เขาบรรยายถึงความรู้สึกที่ได้รับ
ขณะที่ ผู้บริโภครายนี้ไม่สามารถกลับมาเดินได้ตามปกติ ต้องใช้วิธีคลานในการเคลื่อนไหว เพราะการฉีดยาในครั้งนั้นส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างถาวร ทำให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่เหมือนเดิม หากเดินมากหรือต้องยืนทำงานนาน ๆ ขาจะอ่อนแรงจนถึงขั้นล้มลงได้ ความเสียหายนี้ยังคงกระทบต่อชีวิตประจำวันของเขาอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือ คลินิกกลับปฏิเสธความรับผิดชอบ เขาจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความเพื่อขอความช่วยเหลือ และพยายามไกล่เกลี่ย แต่ไม่เป็นผล ตำรวจจึงแนะนำให้ยื่นเรื่องต่อศาล ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเจ้าหน้าที่ศาลแนะนำให้ติดต่อหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด สภาผู้บริโภค และนั่นเองที่สภาผู้บริโภคได้เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง
หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน หน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ดได้เริ่มต้นกระบวนการให้ความช่วยเหลือทันที โดยประสานงานกับสภาผู้บริโภคเพื่อจัดหาทนายความ รวมถึงเชิญนักวิชาการด้านเภสัชกรรมเข้ามาตรวจสอบการใช้ยารักษาที่เกี่ยวข้อง พร้อมติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิด แม้ต้องต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งกินเวลากว่าสองปีเต็มก็ตาม
ในระหว่างการต่อสู้ที่ยาวนาน เขาเผชิญทั้งความกังวล ความกลัว และความท้อแท้ แค่ 3 เดือนแรกก็รู้สึกถอดใจ เพราะเดินไม่ได้ ทำงานก็ไม่ได้ และความรับผิเชอบที่ต้องแบกรับอยู่บนบ่า
“ทั้งท้อ และถอดใจเลยครับ เพราะเราไม่สามารถเดินได้ตามปกติ กังวลว่าจะสามารถทำมาหากินได้ตามปกติหรือไม่ เพราะเรามีภาระต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน” นายเอเผยถึงความรู้สึกในช่วงเวลาที่ยากที่สุด
แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัว ทนายความ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ที่คอยให้ความช่วยเหลือ ประสานงาน และโทรศัพท์มาปลอบใจอยู่เสมอ ช่วยให้เขาฮึดสู้อีกครั้ง
คดีนี้กินเวลานานถึง 2 ปี กว่าความยุติธรรมจะมาถึงผู้บริโภค ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดมีคำพิพากษาให้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายชนะ และให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 4 เห็นว่า เงินจำนวนดังกล่าวยังไม่เพียงพอสำหรับค่ารักษาพยาบาลและการสูญเสียรายได้จากการทำมาหาเลี้ยงชีพ จึงมีคำพิพากษาแก้ไขให้เพิ่มเป็น 570,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกัน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
หลังจากคดีชนะผู้บริโภคเผยว่า “ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นเหมือนการปลดเปลื้องความหนักอึ้ง หลังจากแบกรับความทุกข์และความไม่แน่นอนมาตลอด 2 ปี เป็นการยืนยันว่าการต่อสู้และความอดทนนั้นคุ้มค่า และดีกว่าการปล่อยผ่านปัญหาไป”
เรื่องราวนี้ไม่ได้สะท้อนแค่พลังของผู้บริโภคคนหนึ่งที่กล้าลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิของตัวเองเท่านั้น แต่มันยังเป็นภาพแทนของความหวังที่เกิดขึ้นได้เมื่อมีใครสักคนยืนอยู่ข้างเรา อย่างสภาผู้บริโภค โดยเฉพาะหน่วยงานประจำจังหวัดที่เป็นเหมือนแนวหน้าในพื้นที่ คอยประคอง คอยผลักดัน และไม่ปล่อยให้ผู้บริโภคต้องต่อสู้เพียงลำพัง แม้หนทางจะยาวนานถึง 2 ปี แต่สุดท้ายความยุติธรรมก็เป็นจริงขึ้นมาได้ ด้วยพลังของความไม่ยอมแพ้ และแรงสนับสนุนที่ไม่เคยหายไป
แพทย์ฯ ชี้ ฉีดไดโคลฟีแนคมีความเสี่ยง
“ไดโคลฟีแนค” (Diclofenac) เป็นยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ช่วยในการบรรเทาอาการปวด บวมจากการอักเสบ ปวดตามข้อ ไขข้อกระดูก เช่น โรคข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปวดท้องจากประจำเดือน โรคข้ออักเสบ อาการตึงขัดของข้อ
ขณะเดียวกันมีข้อมูลเกี่ยวกับอาการผลข้างเคียง หรือเหตุไม่พึงประสงค์จากการใช้ ยาไดโคลฟีแนคชนิดฉีด (Diclofenac injection) โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2562 อาจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเปิดเผยว่า มีกรณีผู้ป่วยบางรายมีอาการผิดปกติของเส้นประสาทจากการฉีดยาชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย เช่น ขาอ่อนแรง หรือขาไม่มีกำลัง โดยที่ผ่านมามีคนไข้จำนวนพอสมควรที่ทำเรื่องขอเงินเยียวยาไปยังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จนทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการพิจารณาทบทวนและมีมาตรการให้ชะลอหรือถอนการใช้ยาไดโคลฟีแนคในรูปแบบฉีดไว้ก่อน อีกทั้งให้ถอนยานี้ออกจากทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าสาเหตุเกิดจากตัวยาโดยตรงหรือไม่ หรือเป็นผลจากเทคนิคการฉีดที่อาจกระทบเส้นประสาท