เด็กกัมพูชาควรได้สิทธิในการเรียน ตามหลักการศึกษาเพื่อปวงชน ที่รัฐรับรองในปี 48

วันที่ 28 สิงหาคม 2568 คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ออกแถลงการณ์ย้ำว่า สิทธิในการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือสถานะทางทะเบียนใดก็ตาม ต้องไม่ถูกกีดกันออกจากระบบการศึกษา

กรณีล่าสุด นักเรียนชาวกัมพูชา อายุ 13 ปี ที่เติบโตในประเทศไทย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สุรินทร์ ฐานเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย และอยู่ระหว่างการส่งตัวกลับประเทศ ได้สร้างความห่วงกังวลต่อสิทธิในการศึกษา ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเด็ก

เด็กนักเรียนรายนี้ใช้ชีวิตไม่ต่างจากนักเรียนไทยทั่วไป เพียงแต่ไม่มีเอกสารสัญชาติไทยที่สมบูรณ์ โดยมีเพียงใบเกิดและรหัสนักเรียน G ซึ่งเป็นระบบที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อให้เด็กไร้สัญชาติและเด็กข้ามชาติสามารถเข้าถึงสิทธิการศึกษาได้

ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ รหัส G-Code เป็นรหัสประจำตัวนักเรียนที่กำหนดโดยกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 เพื่อใช้สำหรับเด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร เช่น เด็กที่เป็นบุคคลต่างด้าว เด็กไร้สัญชาติ หรือเด็กที่ไม่มีเอกสารประจำตัวตามกฎหมาย เช่น สูติบัตร หรือบัตรประจำตัวประชาชน

พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 เรื่อง “การศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All)” ที่ยืนยันสิทธิของเด็กทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือสถานะทางทะเบียนอย่างไร ต้องไม่ถูกกีดกันออกจากระบบการศึกษา ขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีคุ้มครองสิทธิเด็ก 4 ด้าน ได้แก่ สิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม โดยมีหลักสำคัญคือ การไม่เลือกปฏิบัติ และการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก

จากกรณีนี้ สภาผู้บริโภคมีข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้

  1. ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานความมั่นคง ปฏิบัติการภายใต้หลักการคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นสำคัญ ไม่ควรนำเด็กไปอยู่ในห้องกักขังเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ และควรแจ้งหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์เข้ามาดูแลทันที 
  2. ขอให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานการแก้ไขสถานะของนักเรียนตามหลักกฎหมาย เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาตามสิทธิที่สมควรได้รับ

อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคตระหนักดีว่าการบังคับใช้กฎหมายด้านคนเข้าเมืองเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยืนยันว่าในทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับเด็ก จะต้องยึดหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กคนนี้ และเด็กไร้สัญชาติคนอื่น ๆ ได้มีโอกาสเรียนต่อไปอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์