
เปิดขั้นตอนที่ผู้บริโภคต้องรู้ เมื่อติดกับดักหนี้นอกระบบ ถูกทวงหนี้โหด เจอประจานพร้อมคุกคามผู้กู้ ต้องไม่โอนเพิ่ม และรีบแจ้งความทันที
การจับกุมแก๊งเงินกู้ดอกเบี้ยโหดในจังหวัดนครนายกในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งผู้ต้องหายอมรับผิดแต่ไม่เปิดเผยแหล่งเงินทุน สะท้อน ปัญหาหนี้นอกระบบยังคงเป็นปัญหาเดิมที่ภาครัฐสามารถจัดการได้เพียงในระดับผู้ปฏิบัติการปลายทาง ขณะที่โครงสร้างการให้กู้ยืมเงินที่ผิดกฎหมายยังดำรงอยู่ ส่งผลให้ลูกหนี้บางกลุ่มต้องเผชิญ ความเสี่ยงจากการทวงหนี้ที่ข่มขู่ คุกคาม และประจาน ซึ่งอาจกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รายงานโครงการสำรวจและวิเคราะห์สถานการณ์หนี้นอกระบบของประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดย ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่ในปี 2568 ระบุว่า ภาพรวมหนี้นอกระบบของประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 13.4% ของหนี้ทั้งระบบ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนขนาดของปัญหาหนี้นอกระบบในเชิงโครงสร้าง โดยงานวิจัยชี้ว่า หนี้นอกระบบยังคงพบมากในกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ไม่แน่นอน แรงงานอิสระ และผู้ค้ารายย่อย ซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบ และมีความจำเป็นต้องใช้เงินหมุนเวียนในการดำรงชีพหรือประกอบอาชีพ
พฤติกรรมทวงหนี้ผิดกฎหมาย ผู้บริโภคควรรู้เท่าทัน
จากการรวบรวมข้อมูลเรื่องร้องเรียนของสภาผู้บริโภคและการรายงานข่าวของผู้บริโภคที่ประสบปัญหาในเรื่องการถูกทวงหนี้ พบว่าผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งทวงหนี้โหด มักเผชิญพฤติกรรมผิดกฎหมาย ดังนี้ 1. โทรทวงหนี้ถี่ผิดปกติ และนอกเวลาที่กฎหมายกำหนด โทรศัพท์หรือส่งข้อความหลายสิบครั้งต่อวัน โทรก่อน 08.00 น. หรือหลัง 20.00 น. รวมถึงวันหยุด เพื่อกดดันทางจิตใจ ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้ติดต่อได้ไม่เกินวันละ 1 ครั้ง โดยกำหนดไว้จันทร์–ศุกร์ 08.00–20.00 น. และวันหยุด 08.00–18.00 น. 2. คุกคามคนรอบข้างแทนลูกหนี้ โดยโทรไปยังญาติ เพื่อน คนในที่ทำงาน หรือหัวหน้างาน เพื่อสร้างแรงกดดันและความอับอายแก่ลูกหนี้ 3. ประจานบนโซเชียลมีเดียและส่งข้อความ นำภาพถ่าย ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อความกล่าวหา ไปเผยแพร่ในกลุ่มไลน์ เฟซบุ๊ก หรือส่งต่อให้คนรู้จักของลูกหนี้
4. ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ข่มขู่ และคุกคามความปลอดภัย ใช้คำพูดรุนแรง ดูหมิ่น ข่มขู่ทำร้ายร่างกาย ทรัพย์สิน หรือครอบครัว ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างหนัก โดยกรณีล่าสุดถึงขั้นข่มขู่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายลูกหนี้ 5. แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานกฎหมาย ปลอมตัวเป็นตำรวจ เจ้าหน้าที่ศาล หรือหน่วยงานราชการ อ้างการอายัดทรัพย์หรือดำเนินคดี เพื่อสร้างความหวาดกลัว
6. บังคับให้โอนเงินซ้ำซ้อน อ้างดอกเบี้ยและค่าปรับ แม้ลูกหนี้จะชำระเงินแล้ว ยังอ้างว่ายังค้างดอกเบี้ย ค่าปรับ หรือค่าดำเนินการ เพื่อบังคับให้โอนเงินเพิ่ม เป็นกับดักหนี้ที่ผิดกฎหมาย 7. ใช้ข้อมูลส่วนตัวจากแอปกู้เงินเถื่อนเป็นอาวุธทวงหนี้ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ รูปภาพ หรือข้อความในโทรศัพท์ ถูกนำมาใช้ข่มขู่ ประจาน และติดตามลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง 8. เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนแอปเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ เมื่อถูกร้องเรียน กลุ่มมิจฉาชีพจะเปลี่ยนชื่อแอปและกลับมาดำเนินการซ้ำในรูปแบบเดิม
สภาผู้บริโภค แนะนำ 4 ขั้นตอนรับมือทันที เมื่อถูกทวงหนี้โหด 1. ตั้งสติและห้ามโอนเงินเพิ่มเด็ดขาด การโอนเงินเพิ่มเพื่อหยุดการทวง จะยิ่งทำให้ติดกับดักดอกเบี้ยที่ไม่มีวันสิ้นสุด 2. รวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วน เก็บข้อความทางแชต คลิปเสียง เบอร์โทรศัพท์ และภาพที่ถูกประจาน เพื่อใช้ในการดำเนินคดี 3. แจ้งความดำเนินคดี แจ้งความได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) 4. ร้องเรียนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง หมายเลข 1359 ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ กระทรวงมหาดไทยโทร. 1567 ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม หมายเลข 0 2575 3344
รู้สิทธิทางกฎหมาย สร้างเกราะป้องกันตนเอง
แนวทางการป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม ผู้บริโภคควรพิจารณาทำบัตรประชาชนใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำข้อมูลจากบัตรเดิมไปแอบอ้างทำธุรกรรมอื่น นอกจากนี้ ควรติดตามและเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือหรือไกล่เกลี่ยหนี้ที่ภาครัฐจัดขึ้น รวมถึงสื่อสารกับญาติ เพื่อน และที่ทำงานให้รับรู้สถานการณ์ ขอความร่วมมือไม่รับสายจากเบอร์ต้องสงสัย และช่วยเก็บหลักฐานไว้ใช้ดำเนินการทางกฎหมาย
ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีสิทธิปฏิเสธการชำระดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมาย โดยกฎหมายคุ้มครองให้ชำระเฉพาะเงินต้นตามอัตราที่กำหนด การทวงหนี้ที่ข่มขู่ ประจาน หรือคุกคาม ถือเป็นความผิดทางอาญา ผู้ทวงหนี้สามารถถูกดำเนินคดีได้ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยสัญญากู้ยืมระหว่างบุคคลทั่วไป ต้องไม่เกิน 15% ต่อปี หรือ 1.25% ต่อเดือน ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่ต้องใช้หลักประกัน อัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 25% ต่อปี
นอกจากนี้มีแนวทางจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้คำแนะนำกับปิดหนี้นอกระบบ ด้วย 3 ด้านสำคัญทั้ง 1. หาเงินมาปิดหนี้ โดยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ควบคู่กับการหารายได้เพิ่มจากการความสนใจ พร้อมประเมินทรัพย์สินที่มีอยู่สิ่งใดสามารถนำไปขายได้ เพื่อนำเงินไปใช้หนี้ 2. หาแหล่งเงินกู้ในระบบ ด้วยการสอบถามจากธนาคารภาครัฐต่าง ๆ ที่อาจมีโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบ หรือขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมถึงมีสินเชื่ออเนกประสงค์สำหรับรายย่อย (พิโกไฟแนนซ์) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อนอกระบบ และ 3. หาคนกลางมาช่วยไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ ที่มีสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด สายด่วน 1157 ส่วนลูกหนี้ที่มีความสามารถชำระหนี้น้อยจะมีแนวทางฝึกอบรมอาชีพเพื่อให้ความรู้ทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถร้องเรียนได้ที่ อีเมล: [email protected] เว็บไซต์: https://crm.tcc.or.th และสายด่วน 1502
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



