สภาผู้บริโภคเสริมแกร่ง ทนายความ รับมือภัยการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่

วันนี้ (25 กรกฎาคม 2568) สภาผู้บริโภค ได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพในการดำเนินคดีภัยทุจริตทางการเงินให้แก่ทนายความเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค มุ่งเสริมการคุ้มครองผู้บริโภคจากภัยทุจริตทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของภัยทุจริตทางการเงินเป็นจำนวนมาก

สำหรับการอบรมครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทนายความเพื่อความคุ้มครองผู้บริโภคทั่วประเทศ พร้อมผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดย อรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ จิรชาติ สิทธิอารีรักษ์ เจ้าหน้าที่เฉพาะด้านไซเบอร์จาก สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เข้ามาร่วมให้คำแนะนำและชี้ภัยการเงินในรูปแบบใหม่ ๆ

อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของประชาชนในฐานะผู้บริโภค พร้อมมีอำนาจในการดำเนินคดี เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค ในสองลักษณะทั้งดำเนินคดีตามที่ผู้บริโภคร้องขอความช่วยเหลือมายังสภาผู้บริโภค พร้อมดำเนินคดีในลักษณะที่คณะกรรมการนโยบายเห็นสมควรว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะโดยรวม โดยประเภทของการดำเนินคดีครอบคลุมทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และคดีปกครอง พร้อมกำลังพัฒนาไปสู่กระบวนการคดีแบบกลุ่ม

ขณะเดียวกันสภาผู้บริโภคสามารถให้ความช่วยเหลือผู้บริโภค ในฐานะผู้ฟ้องคดีแทนผู้บริโภค หรือให้การสนับสนุนทนายความ ในกรณีที่ผู้บริโภคถูกผู้ประกอบธุรกิจฟ้องร้อง โดยคดีได้ให้ความช่วยเหลือจำนวนมากในปัจจุบันมักจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือที่ ธปท. เรียกว่า “ภัยทุจริตทางการเงิน”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อีกทั้งในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ฉบับที่ 2 เพื่อแบ่งความรับผิดชอบระหว่างภาคโทรคมนาคมและสถาบันการเงินอย่างชัดเจน โดยหากเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวกับช่องทางการรั่วไหลหรือปัญหาจากโทรศัพท์ จะเป็นความรับผิดชอบของบริษัทโทรคมนาคมต่าง ๆ แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ ใช้บริการผ่านบัตรเอทีเอ็ม, บัญชีธนาคาร, บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต จะเป็นความรับผิดชอบของ สถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งถูกกำกับโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

“สิ่งที่พบจากการทำงานคือมิจฉาชีพมีพัฒนาการอย่างมากและมีกระบวนการทำงานที่เป็นมืออาชีพ โดยไม่เลือกเหยื่อไม่ว่าจะเป็นใครหรือมีอาชีพอะไร จะมีการศึกษาเพียงใด ก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ เพราะมิจฉาชีพไม่เลือกเป้าหมาย สิ่งที่ต้องทำคือป้องกันระบบตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนต้องช่วยตัวเองที่ปลายน้ำ” อิฐบูรณ์ ระบุ

สำหรับเป้าหมายหลักของผู้ร้องเรียนคือต้องการได้รับการเยียวยาในความเสียหายที่เกิดขึ้นในวงเงินที่แตกต่างกันไป โดยเมื่อสภาผู้บริโภคเริ่มดำเนินการฟ้องคดีอย่างจริงจัง ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะหลายธนาคาร ต้องจัดตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาเพื่อต่อสู้คดีเป็นการเฉพาะแล้ว

ฃส่วน โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการถูกหลอกส่วนใหญ่เกิดจากข้อความสั้น (SMS) ที่แนบลิงก์ เมื่อผู้บริโภคคลิกและติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม เครื่องจะถูกควบคุมจากระยะไกล แม้ปิดเครื่องก็ไม่สามารถหยุดการทำธุรกรรมได้ ทั้งบัญชีออมทรัพย์ บัญชีประจำ และบัตรกดเงินสด ต่างตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์ทั้งหมด ถือเป็นภัยออนไลน์ที่เกิดขึ้นมาตลอดช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากต้องถูกฟ้องร้องคดีตามมา เมื่อมีการส่งหนังสือแจ้งถึงธนาคาร ธนาคารมักตอบกลับว่าเป็นการดำเนินการของผู้บริโภคเอง

ทั้งนี้ บทบาทของสภาผู้บริโภคได้ดำเนินการทั้งฟ้องคดีแทนผู้บริโภค การช่วยเหลือดำเนินคดีแทนผู้บริโภคกรณีถูกฟ้องร้อง และสนับสนุนทนายความแก่ผู้บริโภคที่ดำเนินคดีด้วยตนเอง โดยระหว่างปี 2566-2568 ได้มีจำนวนคดีทั้งหมด 304 คดี เป็นคดีภัยการเงิน 111 คดี คิดเป็น 36.55% ของคดีทั้งหมด รวมถึงในปี 2568 จำนวนคดีเกิน 50% เป็นคดีภัยทางการเงินเช่นกัน

สำหรับจำนวนคดีภัยการเงิน 111 คดี มีมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 24.60 ล้านบาท และผู้บริโภคได้รับการเยียวยาจากผลคดี 2.86 ล้านบาท และมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนการฟ้องร้องแทนผู้บริโภค จะมีธนาคารที่ถูกฟ้องคดี 38 คดี และศาลมีคำพิพากษาและตกลงกันได้ 14 คดี, บัตรเครดิตที่ฟ้องคดี 32 คดี ศาลพิพากษาและตกลงกันได้ 20 คดี, บริษัทที่ถูกฟ้องคดี 4 คดี และศาลพิพากษา 3 คดี          

“การจัดเวทีอบรมในครั้งนี้ เพื่อให้ทนายความเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้รับทราบแนวทางปฏิบัติกฎหมายใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมสนับสนุนให้ทนายความสามารถทำคดีได้อย่างรู้เท่าทัน และปรับตัวให้สอดคล้องกับบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไป” โสภณ กล่าว