
ผู้บริโภคหวั่น การที่กรรมการ กสทช. ปัดตกเงื่อนไข ค่าปรับค่ายมือถือ รายวัน หากผู้ประกอบการไม่ขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม 90% ทุกตำบล กระทบผู้บริโภคขาดโอกาสเข้าถึงบริการ ชี้กสทช.เอื้อประโยชน์เอกชนชัดเจน นักวิชาการแนะฟ้องมาตรา 157 ละเลยการปฏิบัติหน้าที่
ผู้ใช้บริการมือถือหลายพื้นที่ทั่วประเทศแสดงความกังวลว่า ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลจำนวนมากอาจไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณมือถือได้อย่างทั่วถึง เมื่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ตีตกการบรรจุเงื่อนไขในใบอนุญาติที่ผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ ต้องชำระ ค่าปรับค่ายมือถือ 0.05% หากไม่สามารถจัดให้โครงข่ายโทรคมนาคมครอบคลุม 90% ของจำนวนประชากรในแต่ละตำบลได้ โดยเห็นว่าการไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวจะทำให้ผู้บริโภคขาดหลักประกันการเข้าถึงสัญญาณอย่างทั่วถึง
สืบเนื่องมาจากการประชุมกรรมการ กสทช. ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ที่มีวาระการพิจารณาเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตการใช้คลื่นความถี่ที่มีการกำหนด ค่าปรับทางปกครองรายวันในอัตรา 0.05% ของราคาที่ผู้รับใบอนุญาตประมูลต่อผู้ประกอบการที่ชนะการประมูล หากไม่สามารถจัดให้โครงข่ายโทรคมนาคมครอบคลุม 90% ของจำนวนประชากรในแต่ละตำบลตามประกาศของกสทช. สำหรับคลื่นความถี่ย่าน 850 1500 2100 และ 2300 MHz ที่เพิ่งเสร็จการประมูลไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค แสดงความผิดหวังต่อมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มีมติไม่กำหนดเงื่อนไขหรือบทลงโทษกรณีที่ภาคเอกชนไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการขยายโครงข่ายตามกรอบเวลาที่กำหนด
ขณะเดียวกันได้ชี้ว่าการตัดเงื่อนไขที่เข้มงวดเช่นนี้ออกไป เปิดช่องให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถดำเนินธุรกิจโดยไม่เร่งรัดการขยายโครงข่ายในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งจะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมของประชาชน และลดแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะในบริบทที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยเพิ่งผ่านการควบรวมกิจการขนาดใหญ่ จนตลาดเหลือผู้เล่นหลักเพียงสองราย สะท้อนถึงแนวโน้มสภาพตลาดแบบ “ผูกขาดโดยสองรายใหญ่” (Oligopoly) ที่ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
สุภิญญา ยังระบุว่า มติดังกล่าวของ กสทช. ถือเป็นการละเลยบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภค แม้ในอดีตการประมูลคลื่นความถี่ช่วงปี 2555-2563 จะมีการกำหนดเงื่อนไขการขยายโครงข่ายอย่างชัดเจน เช่น ต้องครอบคลุมไม่น้อยกว่า 50% ของประชากรในแต่ละตำบลภายใน 2 ปี และมากกว่า 90% ภายใน 5 ปี แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าผู้ให้บริการจำนวนมากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และไม่มีการบังคับใช้บทลงโทษอย่างจริงจัง หลังการควบรวมกิจการ การขยายโครงข่ายมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ในการลงมติดังกล่าวปรากฏว่ากรรมการ กสทช. ที่ลงมติเห็นชอบกับการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว 3 เสียงคือ พลอากาศโท ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. โดยกรรมการ กสทช. อีก 4 เสียง งดออกเสียง ได้แก่ ศาสตราจารย์คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. และกสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค นายต่อพงศ์ เสลานนท์ พลตำรวจเอก ดร.ณัฐธร เพราะสุนทรและ รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ การงดออกเสียงที่เป็นเสียงข้างมากส่งผลให้ข้อเสนอในการกำหนดค่าปรับรายวัน 0.05% ของค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้รับอนุญาตถูกปัดตกไป แม้ว่าได้มีความเห็นจาก คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ที่มีศาสตราจารย์จรัล ภักดีธนากุล เป็นประธาน ชี้ว่า กสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
เสียงผู้บริโภคกังวลสัญญาณไม่ครอบคลุม – 2 ค่ายมือถือหลังควบรวมไม่ลดราคา
ศทิชา รัตนเดช หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า จากการที่สำนักงาน กสทช. จะไม่กำหนดค่าปรับทางปกครองในกรณีที่ผู้ประกอบการมือถือไม่ขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม 90% นั้น ทำให้ผู้บริโภคไม่มีหลักประกันการเข้าถึง ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างมากในกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานีที่มีทำเลภูมิศาสตร์เป็นภูเขา ทำให้มีปัญหาสัญญาณที่ไม่ครอบคลุมในพื้นที่ในอำเภอที่อยู่ห่างไกล จึงอยากให้มีการพิจารณาในเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากสิทธิของผู้บริโภคทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของรัฐธรรมนูญไทย
ขณะเดียวกันจากการติดตามผลการควบรวมผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ ทำให้มีผู้ประกอบการเพียง 2 รายในประเทศเท่านั้น โดยจากการติดตามราคาค่าบริการไม่ได้ปรับลดลง และอัตราค่าบริการที่เป็นแบบรายเดือนมีการปรับเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบและไม่มีทางเลือกอื่นๆ เนื่องจากมีผู้ให้บริการเพียง 2 รายในประเทศเท่านั้น
ด้าน ลำดวน มหาวัน หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวมีปัญหาในเรื่องสัญญาณของโทรศัพท์มือถือเช่นกัน เนื่องจากมีปัญหาจุดอับบางทำเลแม้ว่าอยู่ใจกลางเมือง และมีปัญหาเรื่องสัญญาณที่ขาดหายไปในบางช่วง โดยเฉพาะที่มีฝนตกหนักส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการที่ไม่ได้รับสัญญาณอย่างทั่วถึงและเป็นปัญหาที่พบบ่อยในทุกเดือน
จากการติดตามการขับเคลื่อนนโยบายของ สำนักงาน กสทช. ไม่ได้มีการสั่งการเรื่องขยายโครงการข่ายครอบคลุม 90% จึงยิ่งกระทบโอกาสการเข้ารับบริการโทรศัพท์มือถืออย่างครอบคลุมของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ชายขอบ ดังนั้นจึงควรเร่งดำเนินการผลักดันเรื่องนี้ให้เดินหน้าต่อเนื่อง เพื่อทำให้ทุกคนได้รับสิทธิในการรับบริการอย่างทั่วถึงภายใต้สิทธิของรัฐธรรมนูญไทย
นอกจากนี้จากการที่ติดตามผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือของไทยภายหลังการควบรวมกิจการทำให้มี 2 ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านราคาที่ปรับลดลงแต่อย่างใด และทำให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกในการใช้งาน
รศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตกุล นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน ได้แสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่า หาก กสทช. ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อาจถูกฟ้องร้องในข้อหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา ได้ เพราะ กสทช. มีหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม
ทั้งนี้ การที่ กสทช. ตัดสินใจไม่กำหนดค่าปรับหรือมาตรการบังคับในรอบนี้ จึงอาจถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อภาคเอกชนโดยตรง และซ้ำเติมวิกฤตศรัทธาของสังคมต่อบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญภาวะตึงเครียดจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องให้ กสทช. ออกมาแถลงชี้แจงต่อสาธารณชน และทบทวนมติดังกล่าวโดยเร็ว พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าคัดค้านผ่านกลไกของรัฐสภาและเวทีภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง