
เมื่อความช่วยเหลือด้านการสื่อสารยังติดขั้นตอน สภาผู้บริโภคตั้งคำถามถึง กสทช. เหตุใดประชาชนในพื้นที่วิกฤตยังต้อง “กดรับสิทธิ์” โทรศัพท์ – เน็ตฟรี จากเครือข่ายมือถือของเอกชน ทั้งที่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เข้าถึงได้ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
วันนี้ (1 สิงหาคม 2568) สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค เรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกมาชี้แจงต่อสาธารณะเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน ที่ส่งผลให้ประชาชนในหลายจังหวัดต้องอพยพออกจากถิ่นฐาน โดยเฉพาะกรณีของบริษัทแห่งหนึ่งที่มีการประชาสัมพันธ์ว่าประชาชนสามารถรับสิทธิ์ใช้งานโทรศัพท์ และ เน็ตฟรี ได้ แต่ต้องกดรับสิทธิ์ด้วยตนเอง
สุภิญญาตั้งคำถามต่อ กสทช. ว่า ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา กสทช. ได้ดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อดูแลประชาชนในภาวะวิกฤต และมาตรการจากเอกชนที่ออกมานั้นมีการติดตามประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะจากข้อมูลที่ได้รับ พบว่ามีประชาชนในพื้นที่ร้องเรียนว่าไม่ทราบสิทธิ์นี้ และไม่ได้รับข้อมูลหรือการสื่อสารอย่างชัดเจน ขณะที่บางพื้นที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ เช่น อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้อพยพออกไปแล้ว กลับถูกกำหนดเป็นพื้นที่ให้สิทธิ์ ส่งผลให้ผู้ที่อพยพไปยังค่ายพักพิงในจังหวัดอื่นไม่สามารถใช้งานสิทธิ์ได้
“อยากรู้ข้อเท็จจริงว่ามีประชาชนกี่คนที่ได้ใช้สิทธิ์นี้จริง และเหตุใดคนในพื้นที่ที่ควรได้รับความช่วยเหลือกลับไม่รู้เรื่องสิทธิ์ดังกล่าว และต้องให้กดรับสิทธิ์ก่อน แทนที่จะให้แบบไม่มีเงื่อนไขโดยอัตโนมัติ ซึ่งควรครอบคลุมทุกคนที่ได้รับผลกระทบตามจำนวนเกือบสองแสนคน ตามตัวเลขของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา กระทรวงมหาดไทย (ศบ.ทก.มท.) เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568” สุภิญญา กล่าว
นอกจากนี้ ยังระบุว่าในระดับสากล หากเกิดสถานการณ์ที่ทำให้ประชาชนต้องอพยพจากพื้นที่เสี่ยง รัฐควรจัดสรรสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น น้ำ ไฟ ที่พัก อาหาร และรวมถึงบริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารกับครอบครัว ผ่อนคลายจากภาวะความเครียด หรือรับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องมีขั้นตอนซับซ้อนหรือเงื่อนไขที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
ทั้งนี้ สุภิญญาย้ำว่า ประชาชนไม่ควรถูกผลักภาระให้ต้องรู้จักสิทธิ์และกดรับเองในช่วงเวลาวิกฤต พร้อมขอให้ กสทช. แสดงความรับผิดชอบในการตรวจสอบและรายงานต่อสาธารณะว่าได้มีการดำเนินการใดแล้วบ้าง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและชัดเจนในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค และตั้งคำถามไปยังภาครัฐว่าในการแจกแจงข้อมูลเรื่องอื่น เช่น อาหารหรือสิ่งของจำเป็น ยังสามารถทำได้ เพราะเหตุใดถึงไม่มีการรายงานอย่างเป็นระบบในเรื่องของบริการโทรคมนาคมที่มีความจำเป็นไม่แพ้กัน
“น้ำ ไฟ อาหาร ยา ประชาชนยังระดมเงินช่วยกันได้ แต่เน็ตและโทรศัพท์พื้นฐานในยามวิกฤตเป็นหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง ประชาชนควรได้ใช้อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่มีเงื่อนไขเฉพาะพื้นที่ หรือให้เฉพาะบางคน ขอให้ กสทช. ชี้แจงให้ชัดว่าประชาชนกว่าแสนคนที่อพยพไปใน 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้ใช้เน็ตฟรี โทรฟรีจริงหรือไม่ กี่คน หรือได้สิทธิ์อย่างไร” สุภิญญา กล่าวทิ้งท้าย