Ribbon

ศาลนัดพิจารณาคดีเนต้า ครั้งที่ 2 บริษัทไม่มาชี้แจง ผู้บริโภครอความรับผิดชอบ

วันที่ 15 ธันวาคม 2568 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้นัดพิจารณาคดีครั้งที่ 2 ในคดีที่สภาผู้บริโภค พร้อมตัวแทนผู้บริโภค ยื่นฟ้องบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเนต้า (NETA) เพื่อขอให้ศาลรับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีแบบกลุ่ม (Class Action) จากกรณีผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากปัญหาคุณภาพสินค้า การซ่อมบำรุง อะไหล่ และบริการหลังการขาย

สำหรับการนัดพิจารณาในครั้งนี้ ปรากฏว่า มีเพียงจำเลยที่ 3 คือ บริษัท บางชันเยนเนอรัลเอเซมบลี จำกัด ในฐานะผู้ประกอบและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทย ส่งผู้แทนมาศาลและยื่นคำคัดค้านต่อคำร้องขอให้รับคดีเป็นคดีกลุ่ม ขณะที่ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารถยนต์ยี่ห้อเนต้า ไม่ได้มาปรากฏตัวต่อศาล และไม่ได้ยื่นคำคัดค้านแต่อย่างใด

ว่าที่ร้อยตรีสมชาย อามีน ทนายความผู้รับผิดชอบคดี เปิดเผยว่า การพิจารณาคดีเนต้าครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 มีเพียงบริษัทบางชันฯ เท่านั้นที่ยื่นคำคัดค้าน ส่วนบริษัทเนต้าในประเทศไทยไม่ได้เข้ามาชี้แจงหรือแสดงตัวในกระบวนการศาล โดยการไม่ยื่นคำคัดค้านของบริษัทเนต้า อาจสะท้อนแนวโน้มว่า จำเลยบางรายอาจไม่เข้ามาต่อสู้คดีอย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ จึงมีกำหนดนัดสืบพยานและไต่สวนคำร้องคดีกลุ่มในวันที่ 6–8 เมษายน 2569 และคาดว่าหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลจะมีคำสั่งว่าจะรับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีกลุ่มหรือไม่ ภายในช่วง เดือนพฤษภาคม 2569 โดยทั้งสองฝ่ายยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลได้ ซึ่งหากมีการอุทธรณ์ กระบวนการพิจารณาอาจใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 6 เดือน

สำหรับความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับข่าวสถานะทางการเงินของบริษัทเนต้าในประเทศจีนที่มีข่าวในเรื่องล้มละลายนั้น จากการตรวจสอบสถานะของบริษัทเนต้าในประเทศไทย ยังไม่ปรากฏว่าอยู่ในภาวะล้มละลาย แต่หากบริษัทเข้าสู่กระบวนการล้มละลายจริง อาจมีผลต่อการยึดทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระหนี้ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดีในศาล

สำหรับเสียงสะท้อนของผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์เนต้า กล่าวว่า ได้ซื้อรถยนต์เนต้ามาใช้งานประมาณ 1 ปี 8 เดือน ในราคา 549,000 บาท โดยผ่อนชำระกับไฟแนนซ์ โดยในช่วงแรกการใช้งานมีค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษาต่ำกว่ารถยนต์สันดาปถึง 2–3 เท่า แต่เมื่อใช้งานไปแล้วเกิดปัญหาและต้องซ่อมแซม กลับพบว่า ราคาอะไหล่สูงกว่ารถยนต์สันดาปถึง 3–4 เท่า

นอกจากนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยชั้น 1 ในปัจจุบันยังสูงกว่ารถยนต์สันดาปเกือบ 3 เท่า จากเดิมที่เคยต้องจ่ายค่าประกันรถในอัตราหลักหมื่นบาท แต่ปัจจุบันบริษัทประกันหลายแห่งไม่กล้ารับทำ ต้องทำสัญญาในราคาสูงถึง 25,000–30,000 บาท

ขณะเดียวกัน ราคารถใหม่ในตลาดกลับต่ำกว่ายอดหนี้คงค้างที่ยังต้องผ่อนกับไฟแนนซ์ ส่งผลให้รถยนต์คันดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดความคุ้มค่าอีกต่อไป และกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว

ผู้บริโภค กล่าวต่อว่า “หากได้รับทราบปัญหาแล้ว ขอให้บริษัทเนต้า ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ออกมาแสดงตัว และพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน หากยังเพิกเฉย ผู้บริโภคก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิที่ควรได้รับต่อไป”

ทางด้าน นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค ระบุว่า ผู้บริโภคที่ยังผ่อนชำระรถยนต์เนต้าและประสบปัญหาการใช้งานหรือปัญหาอะไหล่ หากไม่ประสงค์จะใช้งานรถยนต์ต่อ สามารถใช้สิทธิคืนรถได้ แต่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เช่น ต้องไม่มีการค้างค่างวด เพื่อหลีกเลี่ยงภาระหนี้ค้างชำระในอนาคต

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคขอเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค เข้ามากำกับดูแลราคาอะไหล่ สิทธิในการเข้าถึงการซ่อม และการบริการหลังการขายอย่างเป็นธรรม

ขณะเดียวกันควรกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยไม่ให้มีการเรียกเก็บค่าเบี้ยประกันในอัตราที่สูงเกินสมควร โดยสภาผู้บริโภคอยากเสนอไปยังพรรคการเมืองและรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาดำเนินการ ควรเร่งผลักดันกฎหมายสำคัญ เช่น ร่างกฎหมายว่าด้วยความรับผิดเกี่ยวกับสินค้าชำรุดบกพร่อง หรือเลมอน ลอร์ (Lemon Law) เพื่อสร้างหลักประกันให้ผู้บริโภคในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว