
โรงเรียนที่ควรเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และความปลอดภัย แต่ในความเป็นจริงโรงเรียนบางแห่งกลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ความรุนแรง และความเงียบของระบบที่ไม่ฟังเสียงของผู้เรียน
“ทำไมการที่เด็กคนหนึ่งจะได้ไปโรงเรียนที่ปลอดภัยต้องขึ้นอยู่กับความโชคดีของเด็กหรือฐานะของครอบครัว ทั้งที่ความปลอดภัยควรเป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานของทุกโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนของรัฐที่ให้บริการสาธารณะ” นี่คือความเห็นจาก อรรถพล อนันตวรสกุล ประธานคณะอนุกรรมการด้านการศึกษา ถึงความปลอดภัยในโรงเรียนที่ควรมีเท่ากันทุกที่ จากเวทีสาธารณะ “โรงเรียนที่เราอยากอยู่: เด็กพูด ผู้ใหญ่ฟัง โรงเรียนเปลี่ยน” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 จัดโดยสภาผู้บริโภค

เวทีสาธารณะในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อสะท้อนเสียงของเยาวชนกับปัญหาความรุนแรงหลากหลายรูปแบบในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงทางกาย การกลั่นแกล้ง ไปจนถึงการล่วงละเมิดทางวาจาและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะระหว่างนักเรียนกับนักเรียน แต่ยังรวมถึงระหว่างครูกับนักเรียนด้วย ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาจะขับเคลื่อนแก้ปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนต่อไป
ทำไมโรงเรียนไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย
“ผมพยายามขอความช่วยเหลือจากครูและผู้บริหารแต่ปัญหาไม่ถูกแก้”
มันเป็นทั้งเสียงสะท้อน และความรู้สึกที่ออกมาจากข้างในของ ปุริม ราชหุ่น เมื่อต้องสะท้อนปัญหาความรุนแรงที่เขาต้องเจอในหลายรูปแบบ ทั้งด้านร่างกาย วาจา จิตใจ รวมถึงการคุกคามในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะในโรงเรียนซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่กลับกลายเป็นสถานที่ที่กดดันและบั่นทอนสุขภาพกายและใจ ทั้งการถูกบังคับให้ซ้อมดนตรีจนดึกดื่นอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งยังต้องเผชิญกับการล่วงละเมิดทางวาจา และละเมิดความเป็นส่วนตัวจากครูผู้ดูแล
เขาเล่าว่า แม้จะพยายามแจ้งปัญหากับครูหรือผู้บริหารโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล แถมยังถูกปัดภาระให้เขาต้องหาหลักฐานด้วยตัวเอง

“ถ้าผมไม่รู้ช่องทางร้องเรียนอื่นเลย ผมก็คงไม่ได้รับการช่วยเหลือ”
นี่ยิ่งตอกย้ำถึงระบบที่ไม่ปลอดภัย จนสุดท้ายเด็กต้องพึ่งพาช่องทางร้องเรียนภายนอกโรงเรียนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประสบการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ระบบการศึกษายังขาดกลไกการคุ้มครองและรับฟังเสียงของเด็กอย่างจริงจัง
“และผมเสียใจเรื่องหนึ่ง คือผมไม่กล้าที่จะบอกพ่อแม่” ปุริมยอมรับ

ชนิดาภา ประดับคำ เป็นอีกหนึ่งตัวแทนที่มาสะท้อนมุมของนักเรียน แม้ตัวเองจะไม่ได้เผชิญกับความรุนแรงทางร่างกายโดยตรง แต่ได้สะท้อนถึงความรุนแรงเชิงวาจาและแรงกดดันทางความคาดหวังที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ทั้งจากครู ผู้ปกครอง และแม้กระทั่งตัวเอง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตและความมั่นใจในการใช้ชีวิตในโรงเรียน กับคำพูดที่สื่อถึงความคาดหวัง เช่น ต้องเก่งกว่านี้ หรือ ต้องรับผิดชอบให้ได้ กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ต้องแบกรับภาระหนักเกินวัย
“โรงเรียนไม่ควรเป็นสนามแข่งขัน โดยเอาบรรทัดฐานของสังคมมาวัดคุณภาพเด็ก” เขาสะท้อน พร้อมให้ความเห็นว่า โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้เรียนรู้ เติบโต และพัฒนาตนเองในแบบที่ตนต้องการ

“โรงเรียนที่เด็กอยากอยู่จริง ๆ เป็นภาพที่หาได้ยากในระบบปัจจุบัน”
นี่เป็นความเห็นจากตัวแทนคุณครูเมื่อต้องสะท้อนถึงโรงเรียนแบบไหนที่เด็กอยากอยู่ ทัตชญา ศิริทรงภากุล เครือข่ายก่อการสิทธิเด็ก เล่าว่า เด็กจำนวนมากไปโรงเรียนเพราะต้องการมีสังคม ใช่ว่าอยากเรียนหนังสือตามระบบ ส่วนโรงเรียนที่มีระบบดี หลักสูตรยืดหยุ่น ครูเข้าใจเด็ก และมีความปลอดภัยอย่างแท้จริงนั้น มักกระจุกอยู่ในโรงเรียนที่ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง ขณะที่โรงเรียนรัฐส่วนใหญ่ยังถูกครอบด้วยอำนาจนิยม การละเลย และวัฒนธรรมเดิม ๆ
“แม้ครูจะอยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุดในระบบการศึกษา แต่กลับเป็นหนึ่งในต้นทางของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน”
นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนผ่าน วัฒนธรรมความเชื่อที่ฝังรากลึก เช่น ความเชื่อว่าไม้เรียวสร้างคน หรือความเคยชินกับอำนาจนิยมในห้องเรียน ขณะที่ระบบการศึกษากลับเน้นแต่ตัวชี้วัด วัดผลการเรียน มากกว่าการมองเห็นการเติบโตของเด็กในห้องเรียน
โรงเรียนที่ควรเป็นพื้นที่ใช้ชีวิตของเด็ก จึงกลายเป็นเพียงสถานที่ที่เด็กถูกจับเข้าไปเรียนเพื่อผ่านมาตรฐานทางวิชาการเท่านั้น ท่ามกลางบริบทที่ครูเองไม่มีเวลาตั้งคำถาม ไม่ได้รับการสนับสนุน และไม่มีใครจัดองค์ความรู้ให้เข้าถึงอย่างเป็นระบบ
“การจะทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย ครูจึงจำเป็นต้องมีความรู้ด้านพัฒนาการเด็ก แต่กลับพบว่าองค์ความรู้เหล่านี้กลับไม่ถูกถ่ายทอดอย่างทั่วถึง และไม่มีระบบที่สนับสนุนให้ครูใช้ความรู้นั้นในการทำงานจริง” ตัวแทนครูเผยปัญหา
โรงเรียนที่ปลอดภัย และบ้านที่ฮีลใจ
ทั้งนี้ ตัวแทนนักเรียนทั้ง 2 คน ได้ให้ความเห็นว่า หากจะจินตนาการถึงโรงเรียนในฝัน ควรเป็นสถานที่ที่เด็กกล้าแสดงออกในสิ่งที่สนใจ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบเดิม ๆ ว่าอะไรถูกหรือผิด ไม่ใช่แค่ให้เลือก ก ข ค แต่เปิดโอกาสให้ตั้งคำถามและคิดต่างอย่างสร้างสรรค์
นักเรียนควรได้รับการรับฟัง ไม่ใช่ถูกลดค่าด้วยสายตาที่ไม่เชื่อมั่นในศักยภาพ หรือคำพูดว่าทำไม่ได้ เพราะโรงเรียนที่ปลอดภัยคือโรงเรียนที่เข้าใจ สนับสนุน และไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสิน หรือเปรียบเทียบกับใคร

“บ้านเป็นสิ่งแวดล้อมแรกของเด็ก หากพ่อแม่พร้อมรับฟัง เด็กก็กล้าเล่าให้ฟัง”
นี่คือความเห็นจาก ณัฏฐนาท ปฐมวรชัย เพจ How to ได้ใจลูกวัยรุ่น ในฐานะผู้ปกครอง พร้อมชี้ให้เห็นว่า บ้านคือจุดเริ่มต้นสำคัญของพื้นที่ปลอดภัย หากพ่อแม่สามารถรับฟังอย่างแท้จริง โดยไม่รีบตัดสิน ไม่ชิงเสนอทางออก แต่เปิดพื้นที่ให้ลูกได้เล่า และได้คิดหาทางแก้ไขด้วยตนเอง นั่นจะเป็นรากฐานของภูมิคุ้มกันที่ทำให้เด็กมั่นใจและเข้มแข็งพอจะเผชิญโลกภายนอกได้อย่างมีสุขภาวะ
“เวลาลูก ๆ มาเล่าปัญหาเขาอาจจะยังไม่ต้องการให้เราช่วยแก้ไข แต่เขาแค่อยากเล่าให้ฟัง ให้เรารับรู้ความรู้สึกของเขา โดยไม่ได้ตัดสินและชิงหาทางออกให้ เขาต้องการพื้นที่ปลอดภัย ที่เขาสามารถพักพิงได้” ผู้ปกครองให้ความเห็นปิดท้าย
ดูเนื้อหาจากเวทีย้อนหลัง https://www.youtube.com/watch?v=x8y_gKIoYiM