
น่าห่วง ตัวแทนประกันหลอกผู้บริโภคโอนเข้าบัญชีส่วนตัว สูงถึง 100 ล้านบาท กระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั้งสิทธิและสูญเสียเงิน ย้ำต้องตรวจสอบข้อมูลรอบด้าน
เหตุการณ์ล่าสุดที่สะเทือนความเชื่อมั่นในการทำประกันของผู้บริโภคทุกคน จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทนรายหนึ่ง ที่หลอกผู้เอาประกันให้โอนเบี้ยเข้าบัญชีส่วนตัว มูลค่าความเสียหายทะลุ 100 ล้านบาท และมีผู้เสียหายกว่า 12 ราย เป็นอีกครั้งที่สังคมต้องกลับมาตั้งคำถามเดิมว่า ผู้บริโภคจะสามารถไว้วางใจระบบประกันภัยได้ในระดับใด
สำหรับเหตุการณ์นี้ยังทำให้ผู้เอาประกันบางรายกระทบต่อ “สิทธิการความคุ้มครองโดยไม่รู้ตัว” ทั้งที่เชื่อว่าตนได้ชำระค่าเบี้ยครบถ้วนแล้ว ความเสียหายลักษณะนี้จึงไม่ใช่เพียงการฉ้อโกงตัวบุคคล แต่เป็นการแสดงถึงช่องโหว่ของระบบ ที่ส่งผลต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคโดยตรง
กลโกงที่ผู้บริโภคต้องจับตา ทำไมยังเกิดขึ้นซ้ำ
ตัวแทนรายดังกล่าวของบริษัทประกันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ได้ใช้กลลวงทั้งอ้างสิทธิพิเศษ พร้อมส่วนลดเบี้ยประกัน 15% การให้ของแถมเป็นทองคำเพื่อจูงใจ พร้อมขอให้โอนเงินตรงเข้าบัญชีส่วนตัว โดยอ้างว่า “เร็วกว่า” หรือ “เป็นโปรเฉพาะลูกค้า” ทั้งนี้เมื่อบริษัทไม่เคยได้รับเงินเบี้ย ผู้เอาประกันจึงเสี่ยงถูกตัดความคุ้มครอง
สำหรับการหลอกลวงรูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีหน่วยงานกำกับดูแล ระบบยังเปิดช่องให้ผู้บริโภคถูกหลอกได้ง่ายเกินไป และยังไม่สามารถปิดจุดเสี่ยงของกระบวนการขายประกันได้อย่างรอบด้าน
ปัญหาที่สะสมในระบบประกันภัย เชื่อมโยงสู่ความไม่มั่นใจของประชาชน
เหตุการณ์โกงเบี้ยครั้งนี้มีความเชื่อมโยงกับปัญหาที่สะสมมาหลายปีในธุรกิจประกันภัยไทย ได้แก่ ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้หลายบริษัทประกันมีปัญหาสภาพคล่อง รวมถึงบางบริษัทประกาศยุติธุรกิจ หรือมีความเสี่ยงปิดกิจการ ตลอดจนการใช้มาตรการระบบร่วมจ่ายในประกันสุขภาพ (Co-payment) ทำให้มีการปรับเบี้ยประกันเพิ่มอย่างกะทันหัน รวมถึงมีปัญหาเรื่องกรมธรรม์ที่มีความซับซ้อนและมีข้อมูลจำนวนมากจนผู้บริโภคเข้าใจได้ยาก
ทั้งนี้เมื่อรวมปัจจัยเหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้บริโภคตั้งคำถามว่าแม้ทำสัญญาและจ่ายเบี้ยตรงเวลาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความคุ้มครองยังคงอยู่จริง
แนวทางที่ผู้บริโภคต้องรู้เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ
1. ตรวจสอบใบอนุญาตตัวแทนทุกครั้งก่อนทำธุรกรรม หรือเลือกซื้อประกันต่างๆ โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ผ่านทางเว็บไซต์ https://smart.oic.or.th/eservice/Menu1 และผ่านไลน์ @OICConnect 2. ห้ามโอนเงินเข้าบัญชีบุคคล โดยการจ่ายเบี้ยต้องชำระเข้าบัญชีบริษัทเท่านั้น ตัวแทนไม่มีสิทธิ์ให้ส่วนลดหรือรับเงินโดยไม่มีหลักฐาน 3. การเก็บหลักฐานการชำระทุกครั้ง โดยเฉพาะใบเสร็จต่างๆ ไว้ 4. ผู้บริโภคมีสิทธิในการยกเลิกกรมธรรม์ภายใน 15 วัน เมื่อได้รับเอกสารกรมธรรม์ เพื่อมีเวลาทบทวนสิทธิ รวมถึงผู้บริโภคมีสิทธิยกเลิกกรมธรรม์ได้ภายใน 30 วัน หากซื้อผ่านโทรศัพท์ และออนไลน์ 5. ตรวจสถานะกรมธรรม์อย่างน้อยปีละครั้ง ผ่านทางแอปพลิเคชัน เว็บไซต์บริษัท หรือคอลเซ็นเตอร์ 6. หากเกิดปัญหาตามมาและสงสัยว่าถูกโกง ต้องรีบแจ้งทันที ผ่านทั้ง คปภ. 1186 บริษัทประกันที่เกี่ยวข้อง และผ่านสภาผู้บริโภคช่องทางออนไลน์ และสายด่วน 1502
วิเคราะห์ปัญหานี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
หากดูโครงสร้างปัจจุบันของธุรกิจประกัน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดขึ้นซ้ำ เนื่องจากพบช่องว่างสำคัญ ได้แก่ ผู้บริโภคไม่สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าเบี้ยถูกนำส่งหรือไม่ เอกสารกรมธรรม์มีความซับซ้อน รวมถึงผู้บริโภคพึ่งพาตัวแทนและให้ความเชื่อใจมากเกินไป อีกทั้งภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจอยู่ในระดับสูง
ดังนั้น การแก้ไขต้องเกิดทั้งในระดับหน่วยงานกำกับ บริษัทประกัน และผู้บริโภคต้องตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มงวดมากขึ้น และอ่านทุกอย่างให้เข้าใจก่อนตัดสินใจทำสัญญาทุกครั้ง
ทั้งนี้ คปภ. ได้มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการชำระเบี้ยประกันภัย โดยให้บริษัทประกันภัยต้องกำหนดนโยบายให้การรับชำระค่าเบี้ยประกันภัย โอนเข้าบัญชีของบริษัทโดยตรงเท่านั้น ส่วนกรณีที่บริษัทมีการรับชำระเป็นเงินสดผ่านตัวแทนประกันภัย บริษัทจะต้องกำหนดแนวปฏิบัติให้ตัวแทนแจ้งบริษัทรับรู้ผ่านระบบ และต้องโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทภายในวันทำการถัดไป ห้ามมิให้นายหน้าประกันภัยบุคคลธรรมดารับชำระค่าเบี้ยเป็นเงินสดโดยตรง อีกทั้งหากมีการฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว บริษัทประกันภัยจะต้องยกเลิกสัญญาและส่งข้อมูลให้ คปภ. บันทึกในระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับการฉ้อฉลประกันภัย แต่หากผู้บริโภคพบปัญหาจากการประกันภัย ติดต่อสอบถามได้ที่ คปภ.
ข้อเสนอเชิงระบบจากสภาผู้บริโภค
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทประกันชีวิตประสบปัญหาการเงิน หรือต้องปิดกิจการ สภาผู้บริโภคได้เสนอให้หน่วยงานกำกับเร่งดำเนินการดังนี้ 1. กำหนดมาตรการชดเชย เยียวยาผู้เอาประกันที่ยังอยู่ในสัญญา โดยเฉพาะกรณีบริษัทมีความเสี่ยงสูงหรือมีแนวโน้มปิดกิจการ 2. ชี้แจงขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยงานกำกับ ในกรณีอนุญาตให้บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่อาจเสี่ยงต่อผู้บริโภค 3. เพิ่มความโปร่งใสและระบบตรวจสอบสถานะเบี้ยแบบออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคเช็กได้เองทันที 4. พัฒนาช่องทางสื่อสารโดยตรงสำหรับผู้เอาประกัน ลดการพึ่งพาตัวแทน เพิ่มความชัดเจนของข้อมูล เนื่องจากประกันชีวิตคือสัญญาทางการเงินระยะยาวที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในระดับสูง ดังนั้นหน่วยงานกำกับจึงต้องทำงานอย่างโปร่งใส เข้มงวด และมีข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า เมื่อเกิดวิกฤติ ระบบจะคุ้มครองผู้บริโภคได้จริง ไม่ปล่อยให้ผู้บริโภคเผชิญความเสี่ยงลำพัง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



