
เวทีเสวนาระดมเสียงจากภาครัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ ชี้ถึงเวลาต้อง แก้กฎหมายผู้บริโภค ปรับโครงสร้างกฎหมาย 4 ฉบับเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคทั้งระบบ ให้เท่าทันโลกดิจิทัล พร้อมผลักดันสร้างสมดุลระหว่างสิทธิของผู้บริโภคกับอำนาจของธุรกิจ
เวทีเสวนา “กฎหมายเพื่อการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคยุคใหม่ กับการผลักดันแก้ไข 4 กฎหมายสำคัญ” ที่จัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปิดพื้นที่ให้หน่วยงานรัฐ นักวิชาการ ฝ่ายนิติบัญญัติ และภาคประชาชน ได้แลกเปลี่ยนแนวทางปรับปรุงกฎหมายผู้บริโภคให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล โดยทุกฝ่ายเห็นพ้องว่ากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคต้องไม่ล้าหลังและต้องคุ้มครองผู้บริโภคได้จริง
เสียงประชาชนต้องมีที่ยืนในกฎหมาย
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า หน้าที่สำคัญของสภาผู้บริโภคตามกฎหมายคือการเสนอและผลักดันนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้จัดทำร่างกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 3 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค, ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า (หรือที่เรียกว่า Lemon Law) และร่าง พ.ร.บ.อาหาร ซึ่งทั้งหมดมาจากการรวบรวมรายชื่อประชาชน จำนวนมากกว่า 70,000 รายชื่อเพื่อยื่นเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา
สารีชี้ว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ที่ใช้เป็นเวลากว่า 40 ปี จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิผู้บริโภคในระดับสากล เช่น สิทธิขั้นพื้นฐานที่องค์การสหประชาชาติรับรองไว้ ซึ่งกฎหมายไทยยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด และยังขาดโครงสร้างที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ดังนั้น การปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้จึงมุ่งเปลี่ยนโครงสร้างการคุ้มครองผู้บริโภคให้ผู้บริโภคมีอำนาจร่วมตัดสินใจ ไม่ใช่เพียงผู้ร้องเรียน โดยคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรเพิ่มสัดส่วนตัวแทนจากภาคประชาชนให้มากขึ้น และให้อำนาจคณะกรรมการเฉพาะด้านสามารถออกคำสั่ง เยียวยา หรือระงับปัญหาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอศาล ทั้งยังต้องขยายอำนาจให้ครอบคลุมสภาพเศรษฐกิจยุคใหม่ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และบริการดิจิทัล
เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคยังกล่าวถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่ล่าช้า โดยยกตัวอย่าง ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือกฎหมายเลมอน ลอว์ (Lemon Law) ที่อยู่ในชั้นกฤษฎีกามานานหลายปี ทั้งที่หลักการของกฎหมายนี้ง่ายและเป็นธรรม คือ สินค้าที่ชำรุดบกพร่อง ซ่อมแล้วไม่หาย ต้องคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้าใหม่ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และสิงคโปร์มีกฎหมายลักษณะนี้บังคับใช้มานานแล้ว โดยการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ใช่อุปสรรคของภาคธุรกิจ แต่เป็นเครื่องมือสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะเมื่อผู้บริโภคมีอำนาจต่อรอง ธุรกิจย่อมต้องพัฒนาคุณภาพและความโปร่งใสมากขึ้น ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมเข้มแข็งขึ้น
นอกจากนี้ สารียังเสนอให้การแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ต้องถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของการคุ้มครองผู้บริโภค โดยหากมีกฎหมายอื่นที่คุ้มครองน้อยกว่าฉบับนี้ไม่สามารถใช้แทนได้ พร้อมย้ำว่ากฎหมายข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมควรเป็นการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของระบบกฎหมายไทยทั้งหมด
ขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้การโฆษณาและการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ต้องมีความโปร่งใส และต้องให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคให้ครบถ้วนซึ่งเป็นไปตามสิทธิผู้บริโภค เช่น การระบุว่าอินฟลูเอนเซอร์ใช้สินค้าจริงหรือไม่ และการควบคุมสินค้าที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ควรกำหนดคำเตือนชัดเจน
สารี ยังตั้งคำถามต่อการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลข้ามชาติ เช่น เฟซบุ๊กที่จดทะเบียนในไทยในฐานะเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทั้งที่มีลักษณะเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความล่าช้าของภาครัฐในการปรับตัวกับเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงกติกาให้ทันสมัย โดยชี้ว่าปัญหาไม่ใช่เพราะผู้บริโภคไม่รู้สิทธิ แต่เพราะรัฐไม่บังคับใช้กฎหมาย
“เราต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ว่าการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ใช่การขัดขวางทุน แต่คือการทำให้ทุนแข็งแรงและแข่งขันได้บนความเป็นธรรม ผู้บริโภคต้องมีอำนาจ มีเสียง และมีที่ยืนในกฎหมายอย่างแท้จริง” สารี กล่าวย้ำ
มุมมองจากหน่วยงานรัฐ แก้กฎหมายให้ทันโลก
ศิระณัฐ วิทยาธรรมธัช ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวถึง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งเคยทันสมัยในยุคนั้น แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับสภาพสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ โดยเฉพาะยุคที่ธุรกิจออนไลน์ การตลาดผ่านแพลตฟอร์ม และการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการโฆษณากลายเป็นเรื่องปกติ สคบ. จึงเสนอให้ร่างกฎหมายใหม่ต้องยืดหยุ่นและเท่าทัน พร้อมเพิ่มกลไกเฉพาะด้าน เช่น ช่องทางร้องเรียนออนไลน์ ระบบตรวจสอบสินค้าในตลาดอิเล็กทรอนิกส์ และการเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่สามารถระงับการกระทำที่ไม่เป็นธรรมได้ทันที
สำหรับการดำเนินการผลักดันกฎหมายเลมอน ลอว์ (Lemon Law) ศิระณัฐ ระบุว่าการขับเคลื่อนยังติดอยู่ในเชิงหลักการ โดยเฉพาะการตีความขอบเขตการใช้บังคับว่าจะครอบคลุมเฉพาะธุรกรรมระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค (B2C) หรือรวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่ซื้อสินค้าไปผลิตหรือจำหน่ายต่อด้วย เช่น ผู้ซื้อเครื่องอบขนมเพื่อทำขาย ซึ่งต้องกำหนดให้ชัดว่าอยู่ในข่ายได้รับความคุ้มครองหรือไม่ รวมถึงการพิจารณาว่าสินค้าประเภทใดควรอยู่ภายใต้กฎหมาย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานยาวนาน
สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง ประภัทรพงศ์ ชาญชิต สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุว่า ได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปรับปรุงกฎหมายและจะมีการประชุมพิจารณาในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อรวบรวมข้อเสนอจากหน่วยงานต่าง ๆ และภาคประชาชน โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นจากการไลฟ์สดขายสินค้า ซึ่งผู้บริโภคมักไม่ทราบข้อมูลของสินค้าอย่างครบถ้วน เช่น ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่ระบุรายละเอียดส่วนผสม หรือแหล่งผลิตอย่างชัดเจน สคบ. จึงควรมีกลไกกำกับให้ผู้ขายเปิดเผยข้อมูลสินค้าทั้งหมดก่อนหรือระหว่างการไลฟ์ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
สำหรับอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ที่มีบทบาทสำคัญในการตลาดยุคใหม่ สคบ. กำลังพิจารณาการกำหนดนิยามทางกฎหมายเพื่อควบคุมพฤติกรรมการรีวิวและโฆษณา แบ่งเป็น 2 กรณีหลัก คือ อินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับค่าจ้างหรือสิ่งตอบแทนจากแบรนด์โดยตรง และอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่ได้รับสินค้าหรือเงินโดยตรง แต่ได้รับรายได้จากยอดวิวหรือการมีส่วนร่วม (Engagement) บนแพลตฟอร์มแทน ทั้งสองกรณีอาจต้องพิจารณาว่ากรณีใดต้องอยู่ภายใต้การกำกับ หรือต้องกำกับอย่างไรเพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ได้ว่าเนื้อหาที่เห็นเป็นการโฆษณาหรือการแสดงความเห็นส่วนตัว
ประภัทรพงศ์ ยังกล่าวถึง ปัญหาสินค้านำเข้าและสินค้าควบคุมฉลากที่มักหลุดรอดเข้าสู่ตลาดโดยไม่มีฉลากภาษาไทย ทั้งที่ตามกฎหมายกำหนดให้สินค้าทุกชิ้นที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจำหน่าย ต้องแสดงฉลากภาษาไทยที่ถูกต้องและครบถ้วน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันพบว่า ผู้ค้าส่งจำนวนมากกระจายสินค้าไปยังร้านรายย่อยทันทีโดยไม่ติดฉลาก ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าของราคาถูกหรือไม่มี มอก. เป็นเรื่องปกติ ซึ่ง สคบ. เตรียมกำหนดแนวทางให้ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายมีความรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของสินค้าที่ไม่มีฉลากและยกระดับความปลอดภัยของผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน สคบ. อยู่ระหว่างการหารือเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์การจดทะเบียนธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้ารายย่อยที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมักหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนเพราะมองว่าเป็นภาระมากเกินไป ร่างกฎหมายใหม่จึงมีแนวทางลดโทษปรับให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจ เช่น ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และปรับรายวันไม่เกิน 10,000 บาท เพื่อให้คนขายรายย่อยเข้ามาอยู่ในระบบได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันยังคงมาตรการกำกับแพลตฟอร์มต่างประเทศ เช่น แอมะซอน (Amazon) ให้ต้องจดทะเบียนอย่างถูกต้องในไทย เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค
ด้าน ยอดฉัตร ตสาริกา ผู้อำนวยการกองกฎหมาย รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมกำลังประเมินประสิทธิผลของ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เพื่อพิจารณาว่ายังสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันหรือไม่ ตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้หน่วยงานของรัฐต้องทบทวนกฎหมายในความรับผิดชอบอย่างน้อยทุก 5 ปี โดยได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ หน่วยงานรัฐ ศาล อัยการ และนักวิชาการ เพื่อให้เห็นภาพการบังคับใช้จริงในสังคมไทย
ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่า ตั้งแต่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ มีคดีที่อ้างอิงโดยตรงเพียงไม่ถึง 5 คดี ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคอื่น ๆ นายยอดฉัตรตั้งข้อสังเกตว่า การที่แทบไม่มีการใช้กฎหมาย อาจสะท้อนว่ากฎหมายดีจนไม่เกิดปัญหา แต่ประชาชนและหน่วยงานรัฐไม่รู้จักและไม่หยิบมาใช้ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องสร้างความเข้าใจให้กว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกลไกสุดท้ายที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการในกรณีที่อำนาจต่อรองไม่เท่ากัน
ยอดฉัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎหมายฉบับนี้เปิดโอกาสให้ศาลสามารถปรับข้อสัญญาให้เป็นธรรมได้ โดยหากพบว่ามีเงื่อนไขเอาเปรียบผู้บริโภคเกินสมควร โดยแม้จะไม่ถึงขั้นยกเลิกสัญญาทั้งฉบับ แต่ทางปฏิบัติศาลยังใช้กลไกนี้ค่อนข้างน้อย เพราะเกรงว่าจะเป็นการเปลี่ยนเจตนาของคู่สัญญา ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้ยังมีความจำเป็น เพราะเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของผู้บริโภคและมีแนวทางสอดคล้องกับต่างประเทศ เช่น อังกฤษและสหภาพยุโรป ที่ให้ศาลมีอำนาจปรับข้อสัญญาให้เป็นธรรมได้ โดยรายงานผลการประเมินฉบับเต็มเผยแพร่แล้วบนเว็บไซต์ law.go.th เพื่อเปิดให้ประชาชนร่วมให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
เสียงจากรัฐสภาสู่การคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นรูปธรรม
กันต์พงษ์ ประยูรฉัตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประธานอนุกรรมการพิจารณาศึกษากฎหมาย ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า การแก้ไขกฎหมาย 4 ฉบับครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปรับถ้อยคำ แต่ต้องปรับแนวคิดเชิงโครงสร้างให้สิทธิของผู้บริโภคเป็นหัวใจหลัก โดยร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างผลักดันในสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้ารับผิดโดยอัตโนมัติเมื่อสินค้ามีข้อบกพร่อง ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค เพิ่มช่องทางการร้องเรียนและระบบตรวจสอบในยุคดิจิทัล ร่าง พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง ปรับให้ครอบคลุมธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับสัญญาเช่าซื้อและบริการออนไลน์ ทั้งนี้ กันต์พงษ์ ยังย้ำว่า จะเปิดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เพื่อให้กฎหมายไม่ถูกเขียนจากบนลงล่าง แต่เกิดจากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ถึงเวลาปฏิรูปกฎหมายผู้บริโภคทั้งระบบ
ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า ปัญหาหลักของกฎหมายผู้บริโภคไทยคือความกระจัดกระจาย และความล่าช้าในการบังคับใช้ แม้มีหลายหน่วยงานดูแล แต่ยังขาดกลไกกลางในการประสานงาน ดังนั้น จึงมีข้อเสนอเชิงระบบ อาทิ การรวมฐานข้อมูลคดีและข้อร้องเรียนผู้บริโภคไว้ในระบบเดียว การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงาน หรือการกำหนดให้ทุกหน่วยงานต้องเปิดเผยข้อมูลเชิงสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้
ผศ.ดร.เอมผกา ย้ำว่า กฎหมายต้องไม่เป็นเพียงเครื่องมือของรัฐ แต่ต้องเป็นเครื่องมือของประชาชนในการปกป้องสิทธิของตนเอง และเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับมาตรฐานสิทธิผู้บริโภคไทยให้ทัดเทียมสากล
อย่างไรก็ตามจากความคิดเห็นของเวทีเสวนาในครั้งนี้ ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่า การปรับปรุงกฎหมายผู้บริโภค 4 ฉบับ เป็นก้าวสำคัญของการคุ้มครองสิทธิประชาชนในยุคใหม่ โดยเฉพาะในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และพฤติกรรมผู้บริโภคซับซ้อนขึ้น ซึ่งกฎหมายใหม่นี้ไม่เพียงเพิ่มอำนาจการบังคับใช้ให้รัฐ แต่ต้องสร้างสมดุลระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดตลาดที่เป็นธรรม โปร่งใส และยั่งยืน



