ดันแก้ 4 ปัญหาหลักผู้บริโภค ปี 69 โกงออนไลน์ – ขนส่งทั่วถึง – สัญญาหอพัก – สายสื่อสาร

ดันแก้ 4 ปัญหาหลักผู้บริโภค ปี 69 โกงออนไลน์ - ขนส่งทั่วถึง - สัญญาหอพัก - สายสื่อสาร

จากกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาผู้บริโภคทั่วประเทศ สภาผู้บริโภคได้วางแนวทางแก้ ปัญหาหลักผู้บริโภค ที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้บริโภคให้บรรลุผลสำเร็จในปี 2569 ด้วยการดำเนินการด้านนโยบายหลัก 4 ด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ความปลอดภัย และสิทธิของผู้บริโภคไทยในทุกมิติ

เมื่อวันนี้ 7 ตุลาคม 2568 มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ได้ร่วมกับเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศเดินหน้าผลักดัน 4 นโยบายหลักในปี 2569 ประกอบด้วย นโยบายยืนยันตัวตนผู้ขายออนไลน์ (e-KYM: Know Your Merchant), การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัด, สัญญาเช่าหอพักได้มาตรฐาน และการจัดระเบียบสายสื่อสารให้ปลอดภัย โดยทั้ง 4 เรื่องเป็นประเด็นปัญหาที่ผู้บริโภคได้สะท้อนเข้ามามากที่สุด และมีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทั่วประเทศ

มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม
สภาผู้บริโภคดันแก้ 4 ปัญหาหลักผู้บริโภค ปี 69

ทั้งนี้หนึ่งในนโยบายที่สภาผู้บริโภคกำลังขับเคลื่อน คือ “การยืนยันตัวตนผู้ขายออนไลน์” หรือระบบอี-เค วาย เอ็ม (e-KYM) ที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในยุคที่การซื้อขายสินค้าออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยจากข้อมูลจากสภาผู้บริโภคระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 12 กันยายน 2568 พบว่า มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์มากกว่า 1,200 เรื่อง ที่พบปัญหาสั่งซื้อแล้วไม่ได้รับสินค้า ได้สินค้าที่ไม่ตรงตามคำโฆษณา หรือการถูกเพจหลอกโอนเงินโดยไม่สามารถติดตามตัวผู้ขายได้ ดังนั้น การที่ผู้บริโภครู้ว่าใครคือคนขายและสามารถตรวจสอบได้หากได้รับผลกระทบจากการซื้อสินค้าออนไลน์จะช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้บริโภคได้

สำหรับระบบ e-KYM มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต้องมีการยืนยันตัวตนจริง แสดงชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และบัญชีธนาคารที่ตรวจสอบได้ พร้อมแสดงเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น เครื่องหมาย DBD Register, มอก. หรือ อย. เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจ ทั้งยังช่วยป้องกันเพจปลอมและบัญชีหลอกลวงที่มักใช้เทคนิคใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือเทคโนโลยีดีปเฟก (Deep Fake) ในการหลอกขายสินค้า

อีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือ “การขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะ” ที่มีการระดมความคิดเห็นจากเครือข่ายผู้บริโภคใน 21 จังหวัด ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคของการขับเคลื่อนขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรม อาทิ รถโดยสารขาดมาตรฐาน ไม่มีตารางเวลาแน่นอน อัตราค่าโดยสารไม่เป็นธรรม เป็นต้น รวมไปถึงอุปสรรคที่เกิดจากอำนาจในการกำหนดและแก้ไขเส้นทางเดินรถยังคงอยู่ที่หน่วยงานส่วนกลาง (กรมการขนส่งทางบก) ทำให้เส้นทางเดินรถที่มีอยู่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับบริบทของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปและการปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่ใช้เวลานาน

ทั้งนี้ได้เสนอแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่จะพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ ควรต้องมีการจัดตั้ง “กองทุนรถโดยสารประจำทาง” ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เพื่อรับผิดชอบงานด้านขนส่งสาธารณะโดยตรง และใช้กลไกการประสานงานที่มีอยู่ เช่น การกระตุ้นให้คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจังหวัด (อจร.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ ทำให้การแก้ไขปัญหาจราจรและขนส่งมวลชนในพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมต่อประชาชนทุกคน สอดรับการผลักดันนโยบายขนส่งที่มีความเป็นธรรมและเข้าถึงได้ทุกคน

สำหรับ “นโยบายสัญญาเช่าหอพักได้มาตรฐาน” เป็นอีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของนักศึกษาและผู้เช่าทั่วประเทศ ซึ่งมักเผชิญปัญหาสัญญาไม่เป็นธรรม การเรียกเก็บค่าน้ำ-ค่าไฟเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือการถูกเรียกเก็บค่าส่วนกลางหรือค่าเช่าที่ไม่เป็นไปตามสัญญา ดังนั้น สภาผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคจึงเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อทำให้เกิด “สัญญาเช่าหอพักมาตรฐาน” โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2569 ในแต่ละพื้นที่จะสำรวจข้อมูลและปัญหาการเช่าหอพัก ตาม พ.ร.บ.หอพัก พ.ศ. 2558 หลังจากนั้นจะมีการหารือร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียระดับจังหวัด ร่วมกับการอบรมความรู้ให้กับทั้งผู้เช่าและผู้ประกอบการหอพัก พร้อมจัดทำเป็นข้อเสนอนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค ยื่นให้กับคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพัก และสื่อสาร ผลักดัน รณรงค์เพื่อสร้างการรับรู้ระดับประเทศเพื่อให้เกิดการประกาศใช้สัญญามาตรฐานที่เป็นธรรม รวมถึงมีการเพิ่มกลไกกำกับดูแลร่วมระหว่างรัฐและท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองตามสิทธิขั้นพื้นฐาน

ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคยังเดินหน้าผลักดัน “นโยบายจัดระเบียบสายสื่อสาร” จากปัญหาเรื่องสายสื่อสารที่รกรุงรังและสายสื่อสารที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่อประชาชนทั่วประเทศ จึงได้มีการรวบรวมข้อมูลและนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ นำไปสู่การจัดทำรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แสดงให้เห็นภาพรวมของปัญหาสายสื่อสารมรณะ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค ตลอดจนข้อเสนอเรื่องมาตรการเยียวยาให้แก่ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจริงด้วยการจัดตั้งกองทุนเยียวยา

ทั้งนี้ แผนขับเคลื่อนนโยบายเรื่องสายสื่อสารในระยะต่อไป จะมีการเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลเรื่องสายสื่อสาร การรวบรวมหลักฐาน และรวบรวมสถิติเรื่องร้องเรียนจากหน่วยงานประจำจังหวัดต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยหากไม่มีการแก้ไขจากหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องนี้ มีแผนฟ้องร้องทางปกครองต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบและดูแลเรื่องสายสื่อสารในประเด็นละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และจัดทำข้อเสนอแนวทางเพิ่มเติม รวมถึงนำเสนอข้อมูลและผลักดันนโยบายเรื่องสายสื่อสารอย่างต่อเนื่อง สร้างการตระหนักรู้และผลักดันนโยบายเรื่องสายสื่อสาร นำไปสู่การร่วมมือแก้ไขร่วมกันในระดับประเทศ มุ่งยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ในระยะยาว

สำหรับนโยบาย 4 ด้านเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคโดยตรง การร่วมผลักดันของทุกภาคส่วนจะทำให้สังคมก้าวสู่ระบบที่โปร่งใส ปลอดภัย และเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งสภาผู้บริโภคมีเป้าหมายในปี 2569 ให้เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อผู้บริโภค โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศ เพื่อให้สิทธิของผู้บริโภคไทยได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริงในทุกมิติ