
‘วุฒิสภา’ ประสานเสียงการันตีผลงานสภาผู้บริโภค องค์กรต้นแบบ สร้างผลตอบแทนไปสู่ภาคประชาชนสูงถึง 5.57 เท่า จากงบประมาณที่มีจำกัด 169 ล้านบาท ร่วมคุ้มครองสิทธิ เยียวยาให้ผู้บริโภคทั่วประเทศ หวังเห็นองค์กรอื่นของประเทศโชว์ผลงานในรูปแบบเดียวกัน กระทุ้งเร่งผลักดัน 3 กฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ร.บ.อาหาร และ ร่างความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือกฎหมายเลมอน ลอว์ (Lemon Law) สนับสนุนคนไทยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
สภาผู้บริโภคเข้ารายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ต่อการประชุมสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้ ‘สภาผู้บริโภคต้องรายงานผลการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคต่อรัฐสภา’ โดยได้แถลงผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2567 ต่อที่ประชุมสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่หนึ่ง) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมวุฒิสภา อาคารรัฐสภา
ประหยัด จตุพรพิทักษ์กุล สมาชิกวุฒิสภา กล่าวชื่นชมการขับเคลื่อนนโยบายของสภาผู้บริโภคที่ แสดงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนอย่างชัดเจน พร้อมสามารถบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม จึงอยากให้หน่วยงานอื่น ๆ มาร่วมถอดบทเรียนและมานำเสนอต่อวุฒิสภาที่สามารถแสดงผลลัพธ์ต่อภาคประชาชนและเทียบมูลค่าเงินกับผลลัพธ์ที่ได้ในรูปแบบเดียวกับสภาผู้บริโภค
สำหรับการทำงานของสภาผู้บริโภคในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จากงบประมาณที่ได้รับประมาณ 169 ล้านบาท สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจจากการร่วมคุ้มครองผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานและได้รับการยุติจำนวนรวม 13,000 กว่าเรื่อง คิดเป็นประสิทธิภาพ 80% หรือได้ช่วยเหลือมากกว่า 10,000 ราย รวมถึงให้ความช่วยเหลือและเยียวยาจำนวน 252 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมจากคดีฟ้องร้อง 77 คดี คิดเป็นมูลค่า 80 ล้านบาท รวมถึงนำเสนอข้อมูลและข่าวสารทำให้ประชาชนเกิดการติดตามข้อมูลผ่าน 8 ช่องทางออนไลน์ จำนวนกว่า 170,000 บัญชีแสดงถึงผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลต่อเนื่อง และเกิดปฏิสัมพันธ์รวมกันมากกว่า 62 ล้านครั้งจาก 8 ช่องทางออนไลน์ คิดเป็นมูลค่า 697 ล้านบาท รวมมูลค่าจาก 3 ด้านทั้งหมดมากกว่า 1,009 ล้านบาทจากผลการทำงานหนึ่งปี
ขณะเดียวกันการทำงานของสภาผู้บริโภค ที่ไม่ได้แก้ปัญหาให้แก่เฉพาะรายเท่านั้น แต่สามารถผลักดันไปสู่การป้องกันและการแก้ปัญหาเชิงนโยบาย พร้อมนำไปสู่การแก้ปัญหาในเชิงนโยบายทางด้านกฎหมายได้อย่างยั่งยืน โดยจากรายงานในปี 2567 มีการดำเนินงานหลายด้านทั้งผลักดันรถโดยสารที่เกิดอุบัติเหตุภายหลังที่มีการหารือในวุฒิสภา ซึ่งสภาผู้บริโภคได้ร่วมทำงานกับเครือข่ายขับเคลื่อน “รถโดยสารขับเคลื่อนอย่างปลอดภัย” ผลักดันสร้างโรงเรียนต้นแบบ และขยายสู่ศูนย์การเรียนรู้รับส่งนักเรียนอย่างปลอดภัย ได้จำนวน 20 โรงเรียนต้นแบบ ช่วยสร้างความยั่งยืน หลังจากนั้นนำไปสู่การลงมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 สั่งการให้ 3 กระทรวงหลัก ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำหนดมาตรการตามภารกิจของหน่วยงาน ทั้งกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดมาตรการความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียนเป็นวาระระดับชาติ พร้อมตั้งคณะทำงานภายใต้กลไกอนุกรรมการศูนย์ความปลอดภัยทางถนนทุกจังหวัด และพัฒนาระบบจัดการรถรับส่งนักเรียนให้ปลอดภัยอย่างแท้จริง ส่วนกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้โรงเรียนจัดทำข้อมูลศูนย์นักเรียนรถรับส่ง และกำหนดให้โรงเรียนดูแลความปลอดภัย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพัฒนาโครงการนำไปสู่การพัฒนาระบบข้อมูล (Big Data) ร่วมเพื่อประเมินความเสี่ยงของนักเรียนในแต่ละปี
ขณะที่ ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวสนับสนุนบทบาทการขับเคลื่อนนโยบายของสภาผู้บริโภค ทั้งในด้านการใช้งบประมาณประจำปี 2567 ที่มีวินัยในการใช้งบประมาณและการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า สะท้อนจากงบประมาณของสภาผู้บริโภคได้รับงบประมาณรวม 169 ล้านบาทจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำมาใช้ดำเนินการ 5 ภารกิจหลักทั้งการคุ้มครองสิทธิ การขับเคลื่อนนโยบาย การสื่อสาร การสนับสนุนองค์กรสมาชิก และการบริหารงาน
พร้อมกันนี้ได้วิเคราะห์เชิงบริหาร ทั้งบทบาททางกฎหมายที่มีจุดแข็งคือการเสนอรัฐธรรมนูญและมีกลไกเสนอกฎหมายต่อรัฐบาล รวมถึงการใช้เงินและงบประมาณที่มีจุดแข็งคือใช้จ่ายคุ้มค่า 92% ส่วนผลสำเร็จเชิงนโยบายมีทั้งผลักดันนโยบายเป็นรูปธรรมหลายด้าน และควรมีแนวทางการประเมินผลดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนและสร้างเครือข่ายขยายวงกว้าง อีกทั้งควรยกระดับบทบาทของสมาชิกและเพิ่มอำนาจสมาชิกในพื้นที่ในการฟ้องร้องมากขึ้น ส่วนแนวทางการบริหารองค์กรควรนำเทคโนโลยีเอไอ (AI) มาการบริหารและใช้เอไอจัดการเรื่องร้องเรียน ตลอดจนการพัฒนาการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance) และการบริหารจัดการองค์ความรู้ภายใน (KM)
อย่างไรก็ตาม ในการประเมินความเสี่ยงมีในด้านงบประมาณประจำปี ตั้งแต่ปี 2566 ต้องพึ่งงบจากส่วนกลาง จึงกระทบต่อแผนระยะยาวทำให้เริ่มแผนล่าช้า ส่วนการกระจายอำนาจสู่จังหวัดที่มีข้อจำกัด รวมถึงการฟ้องคดีและทรัพยากร ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต้องมุ่งพัฒนาเอไอ และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังจำกัดอยู่ พร้อมเสนอแนะเชิงกลยุทธ์และปฏิบัติในหลายด้าน อาทิ พัฒนากลยุทธ์ขับเคลื่อนนโยบายเชิงระบบโดยเชื่อมโยงข้อมูลร้องเรียนสู่นโยบาย การเสนอกลไกงบประมาณแบบฐานสัมฤทธิ์ผล (Outcome-based) การขยายเครือข่ายและมอบอำนาจให้หน่วยงานจังหวัดมากขึ้น เช่น ให้สามารถดำเนินคดีได้แทน รวมถึงยกระดับหน่วยงานจังหวัดมีอำนาจทางกฎหมายมากขึ้น ตลอดจนการลงทุนพัฒนาระบบข้อมูลและข้อมูลเทคโนโลยี ระบบข้อมูลภัยผู้บริโภคแห่งชาติ พร้อมสนับสนุนการบูรณาการข้อมูลระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมการยกระดับการสื่อสารสาธารณะเชิงรุกและทำให้ผู้บริโภครู้สิทธิกล้าร้องเรียน
ด้าน นิรัตน์ อยู่ภักดี สมาชิกวุฒิสภา ได้แสดงข้อกังวลต่อสภาผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด พร้อมกล่าวถึงสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยในช่วง 20 ปีที่แล้ว ได้รับรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท และรายได้มีการผันแปรตามจำนวนคนที่ต้องมุ่งให้ลดการดื่มแอลกอฮอล์ แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันกลับมีรายได้ถึง 4,000 ล้านบาท จึงอยากเสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. สสส. ที่มีรายได้จากจำนวนคนลดการดื่มแอลกอฮอล์ 2% ควรมีการแบ่งรายได้ 1% นำมาทำงานของสภาผู้บริโภค เนื่องจากผลงานที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคสามารถทำงานได้ถึง 5 เท่าของเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค สำหรับการร่าง พ.ร.บ.การจัดตั้งองค์กรใหม่ เพื่อให้ได้รับรายได้ 1% และสนับสนุนให้เสนอการลงรายชื่อจำนวน 350,000 คนในการผลักดันเรื่องนี้ อีกทั้งเมื่อสภาผู้บริโภคมีงบประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี จะสามารถสร้างผลงานการคุ้มครองผู้บริโภคได้มากกว่า 10,000 ล้านบาทในเวลา 10 ปี ส่งผลให้ภาครัฐไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
สำหรับ เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา ได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนสภาผู้บริโภค ที่มีกลไกสำคัญของส่งเสริมผู้บริโภคและเข้ามาร่วมผลักดันทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากระบบของกลไกตลาดเสรี อาจส่งผลให้เกิดความไม่สมมาตรของข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคได้
ส่วน สุนทร พฤกษพิพัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา ได้หยิบยกประเด็นบทบาทการทำงานของ สภาผู้บริโภค ที่แตกต่างจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในหลายด้านทั้ง สคบ. ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ส่วนสภาผู้บริโภค เป็นองค์กรอิสระที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง โดยการทำงานของสภาผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องผู้บริโภคและเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของทุกคนที่สามารถเผชิญสถานการณ์ได้ในทุกวัน รวมถึงการทำงานยังมีผลลัพธ์ที่ชัดเจน สะท้อนได้จากการสำรวจจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ต่อประเด็นภาษีที่นำไปใช้กับสภาผู้บริโภคสามารถสร้างผลตอบแทนกลับมาถึง 5 บาท ถือเป็นมูลค่าที่สภาผู้บริโภคให้การช่วยเหลือต่อผู้บริโภค พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ พ.ร.บ. ทั้ง 3 ฉบับทั้ง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค, พ.ร.บ. อาหาร และ พ.ร.บ. ความรับผิดเพื่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้าไม่ปลอดภัย หรือกฎหมายเลมอน ลอว์ (Lemon Law) โดยสภาผู้บริโภคได้เสนอเข้ามาเพื่อร่วมปรับปรุงกฎหมายเก่าที่ล้าสมัย และเรียกร้องให้รัฐบาลนำเข้าพิจารณา เพื่อช่วยกันพัฒนากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป
ขณะที่ พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา ได้กล่าวถึงบทบาทการทำงานของสภาผู้บริโภค ที่มีภารกิจหลัก 4 ประการ ทั้งการช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิ การขับเคลื่อนนโยบาย การสร้างเครือข่าย และการสื่อสาร โดยมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และสามารถสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม ทั้งมาตรการเปิดก่อนจ่าย มาตรการทบทวนเงินก่อนโอน โครงการรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย และการรวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 70,000 รายชื่อเพื่อผลักดันการแก้ไขกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ทั้ง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค, พ.ร.บ. อาหาร และ พ.ร.บ. ความรับผิดเพื่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้าไม่ปลอดภัย หรือกฎหมายเลมอน ลอว์ (Lemon Law)
อีกทั้งได้ร่วมช่วยเหลือผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถร่วมแก้ไขเรื่องที่ร้องเรียนสำเร็จกว่า 48,000 เรื่อง พร้อมร่วมเยียวยาความเสียหายให้ประชาชนได้ 623 ล้านบาท อีกทั้งมีผลสะท้อนจากทุก 1 บาทที่สภาผู้บริโภคได้ใช้ไป สร้างผลตอบแทนกับประโยชน์ให้สังคมได้ถึง 5.57 บาท
ส่วนข้อกังวลมีในด้านงบประมาณที่ไม่ได้รับโดยตรงและต้องผ่านหลายขั้นตอน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและความล่าช้า อีกทั้งยังมีประเด็นงบประมาณ 2569 ที่ถูกลดไปกว่า 66% จึงเป็นเรื่องที่มีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก
สำหรับบทบาทการทำงานของสภาผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา ได้มุ่งปรับรูปแบบการทำงานเสมอ สะท้อนตัวอย่างได้จากการที่มีผู้บริโภคได้ยื่นร้องเรียนผ่านการโพสต์ผ่านเว็บไซต์พันทิป ซึ่งได้ยื่นเรื่องผ่านสภาผู้บริโภคไปในเวลา 2 เดือนแล้วไม่มีความคืบหน้า แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันสภาผู้บริโภคมีการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว จึงได้รับเสียงชมเชยตามมา
อย่างไรก็ตาม การนำเสนอผลงานประจำปี 2567 ของสภาผู้บริโภคต่อสมาชิกวุฒิสภาในครั้งนี้ นำโดย บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสภาผู้บริโภค โดยชี้แจงถึงบทบาทการทำงานตลอดที่ผ่านมา ตั้งแต่การก่อตั้งสภาผู้บริโภคที่เริ่มจากการรวมตัวของ 151 องค์กรผู้บริโภค และได้รับสถานะตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งในปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 353 องค์กรใน 58 จังหวัด ขับเคลื่อนภารกิจผ่านหน่วยงานประจำจังหวัด 20 แห่ง และหน่วยงานเขตพื้นที่ 4 เขต โดยตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้บริโภคกว่า 65,000 คนเข้ามาติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือ พร้อมผลักดันคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกว่า 280 คดี และสามารถชดเชยเยียวยาความเสียหายให้ผู้บริโภคได้รวมมูลค่ากว่า 633 ล้านบาท
ด้านการทำงานในปี 2567 ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้รับงบประมาณจากรัฐจำนวน 169 ล้านบาท แต่สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยข้อร้องเรียนจนคืนสิทธิให้ประชาชนคิดเป็นมูลค่ารวม 252 ล้านบาท โดยแสดงถึงความคุ้มค่าของการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค และสะท้อนบทบาทที่สำคัญของสภาผู้บริโภคในฐานะกลไกหลักด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศ
อีกทั้งจากผลการศึกษาของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) รายงานในช่วงรอบ 3 ปี (2564 – 2566) สภาผู้บริโภคใช้เงินงบประมาณ 673 ล้านบาท แต่สร้างผลตอบแทนทางสังคม (Social Return on Investment) ได้ถึง 3,753 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าสร้างผลกำไรให้แก่ประเทศ 3,080 ล้านบาท หรือประมาณ 5.57 เท่าของงบประมาณที่ได้รับ รวมถึงสภาผู้บริโภคมีคณะกรรมการความเสี่ยงและกลไกการตรวจสอบการทำงาน โดยใช้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและกรมสรรพากร เพื่อให้การทำงานมีความโปร่งใส รวมถึงได้พัฒนาระบบรับเรื่องร้องเรียนเพื่อให้ผู้บริโภคใช้งานได้สะดวกขึ้นและใช้เทคโนโลยีเอไอ เข้ามาร่วมแยกประเภทของเรื่องร้องเรียน อีกทั้งได้สนับสนุนช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อทำให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและได้รับประโยชน์ที่มากขึ้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
สภาผู้บริโภคแจงผลงาน 4 ปี ต่อวุฒิสภา ช่วยเหลือ 6.5 หมื่นคน มูลค่า 633 ล้านบาท