
สภาผู้บริโภคเผยผลงานปี 2568 สำเร็จ ผู้บริโภคพึงพอใจสูงสุด แต่เผชิญอุปสรรคงบปี 2569 ไม่เพียงพอขับเคลื่อน 7 แผนงานใหม่ จึงเดินหน้าของบกลาง 50 ล้านบาท ยกระดับระบบรับเรื่องร้องเรียน พร้อมขยายองค์กรผู้บริโภคให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่วน สปน. พร้อมสนับสนุนให้สภาผู้บริโภคเข้าชี้แจงงบปี 2570 โดยตรง
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 สภาผู้บริโภค ได้จัดประชุมร่วมกับ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ครั้งที่ 2/2568 รายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 และแนวผลักดันการตั้งองค์กรผู้บริโภคให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เป็นประธานเปิดการประชุมติดตามความร่วมมือระหว่างสภาผู้บริโภคกับผู้บริหารสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนงานคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกันในระยะต่อไป ทั้งแนวทางผลักดันจัดตั้งองค์กรผู้บริโภคให้ครอบคลุมทุกจังหวัด จากปัจจุบันสภาผู้บริโภคมีองค์กรสมาชิกใน 58 จังหวัด แต่ยังมีอีกถึง 19 จังหวัดที่ยังไม่มีสมาชิกองค์กรผู้บริโภค ทำให้จำเป็นต้องวางแผนความร่วมมือเพื่อให้เกิดเครือข่ายผู้บริโภคครบในทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ขณะเดียวกันได้หารือแผนงบประมาณปี 2569 ของสภาผู้บริโภค ที่ถูกปรับลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ตามขั้นตอนที่ผ่านมา สภาผู้บริโภค ได้นำเสนองบปี 2569 โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอยู่ที่ 377 ล้านบาท แต่เมื่อผ่านขั้นตอนการพิจารณาจนแล้วเสร็จ ได้รับงบประมาณเพียง 127 ล้านบาท สภาผู้บริโภคได้พยายามเสนอขอแปรญัตติเพิ่มแต่ไม่ทันตามกระบวนการ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของสภาผู้บริโภค ทั้งนี้ พิฆเนศ ต๊ะปวง หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้เสนอให้สภาผู้บริโภคมีโอกาสเข้าชี้แจงต่อสำนักงบประมาณโดยตรงในคราวประชุมหารือครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 เพื่อให้เข้าใจถึงภารกิจและผลลัพธ์จากการดำเนินงานอย่างแท้จริง โดยคาดว่าปีงบประมาณ 2570 จะเป็นปีแรกที่สภาผู้บริโภค จะสามารถเข้าชี้แจงต่อสำนักงบประมาณ
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภค ได้มีการประเมินผลการดำเนินงาน เป็นระยะ โดยการประเมินในรอบ 3 ปี (ปี 2564-2567) TDRI ได้สรุปผลการประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินงานของสภาผู้บริโภคว่างบประมาณของสภาผู้บริโภคที่ใช้ 1 บาท สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนแก่สังคมได้สูงถึง 5.70 บาท เป็นรายงานที่สะท้อนความคุ้มค่า ซึ่งเป็นแนวทางที่สำนักงบประมาณต้องการ
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้ติดตามและขับเคลื่อนนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งการขับเคลื่อนเรื่องสายสื่อสารที่เกิดปัญหาสายห้อยระโยงระยางทำให้เกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิต จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี ในการผลักดันมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลายด้าน ให้มีการนำไปใช้ให้เกิดขึ้นจริง เช่น นโยบายทางด้านสายสื่อสาร เป็นต้น
สำหรับประเด็นภารกิจที่อาจซ้ำซ้อนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) นั้น สารี กล่าวชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นความซ้ำซ้อนแต่เป็นการเสริมทัพการทำงานคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้มากขึ้น พร้อมยกตัวอย่างกรณีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียน กรณีลูเซิร์น คลินิก วงเงินกว่า 6 ล้านบาท โดย สคบ. ไม่สามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ แต่สภาผู้บริโภคสามารถเข้าไปช่วยเหลือแทน ถือเป็นการอุดช่องว่างของระบบได้อย่างแท้จริง
สภาผู้บริโภคเผยผลงานปี 68 สำเร็จ 99%
ณัฐฐิญา ภู่ริยะพันธ์ หัวหน้าฝ่ายงานเลขาธิการ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ได้นำเสนอรายงานผลการดำเนินงานปี 2568 ต่อ สปน. ทุกไตรมาส สำหรับวันนี้เป็นการสรุปภาพรวมผลการดำเนินงานของสภาผู้บริโภค ปี 2568 บรรลุเป้าหมายถึง 99% จากตัวชี้วัดทั้งหมด 9 ด้าน และ 8 ด้าน สามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนภาพรวมเรื่องร้องเรียนมีจำนวน 23,000 เรื่อง สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่มีจำนวน 18,000 เรื่อง พร้อมสามารถแก้ไขปัญหาสำเร็จ 81% หรือกว่า 19,000 เรื่อง สร้างความพึงพอใจของผู้บริโภคอยู่ที่ 94% สำหรับปัญหาหลัก 3 ด้านที่ร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ ด้านสินค้าและบริการ สัดส่วน 41% ด้านการสื่อสาร สัดส่วน 19% และด้านการเงิน สัดส่วน 18% รวมถึงสภาผู้บริโภคได้นำเสนอแนวทางคุ้มครองผู้บริโภคและผลักดันให้มีการบังคับใช้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินการได้อย่างแท้จริง
ทางด้านผลงานที่โดดเด่นของสภาผู้บริโภค มีทั้งเรื่องซัมซุงจอขึ้นเส้นแนวตั้ง ที่เป็นกรณีตัวอย่างการดำเนินคดีที่นำไปสู่การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ เรื่องระบบขนส่งสาธารณะ และเรื่องสายสื่อสาร นอกจากนี้นี้สภาผู้บริโภคมีการฟ้องคดีในปี 2568 รวม 208 คดี ครอบคลุม 8 ด้าน และมูลค่าทรัพย์ฟ้องคดีอยู่ที่ 257 ล้านบาท
อีกภารกิจที่เกี่ยวข้องกับด้านการคุ้มครองฯ คือ การทดสอบสินค้าหรือบริการที่อาจละเมิดสิทธิ์ของผู้บริโภค ได้แก่ การทดสอบเครื่องกรองน้ำ การตรวจสอบก๋วยเตี๋ยวแฟรนไชส์ที่พบว่ามีปริมาณโซเดียมสูง การทดสอบครีมกันแดด การทดสอบหม้อสแตนเลส และการเผยแพร่ผลการทดสอบชาสำเร็จรูป
ส่วนผลงานเด่นด้านนโยบายและกฎหมาย ได้นำเสนอแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค, พ.ร.บ. ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า, และ พ.ร.บ. อาหาร. โดย พ.ร.บ. ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า ได้รับความคืบหน้า คือ คณะกรรมาธิการได้เสนอกฎหมายนี้ต่อรัฐสภาแล้ว
นอกจากนี้ แนวทางแก้ไขปัญหา ได้รับการนำไปต่อยอดดำเนินการ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้นำแนวทางของสภาผู้บริโภคไปกำหนดมาตรการที่เข้มข้นขึ้นในการยกระดับบัญชีม้า เรื่องการประมูลคลื่นความถี่ ทำให้ กสทช. มีมติให้ไปทำประชาพิจารณ์ใหม่เรื่องการประมูลคลื่นความถี่ ตามข้อเสนอของสภา ทางด้านผลงานด้านการสื่อสาร โดยช่องทางการสื่อสารมีผู้ติดตามรวมทั้งหมด 2.3 ล้านบัญชี และผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลได้ถึง 72 ล้านครั้ง
สำหรับการบริหารงบประมาณในปี 2568 โดยสภาผู้บริโภคมีงบประมาณบริหารทั้งสิ้นรวม 184 ล้านบาท และผลการเบิกจ่ายถึง 96.5% ดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการการเบิกจ่าย สำหรับงบประมาณ 2569 สภาผู้บริโภคได้จัดทำแผนทั้งสิ้น 7 แผนงานและต้องใช้งบประมาณรวม 176 ล้านบาท แต่ได้รับจัดสรรเพียง 127 ล้านบาท ทำให้ขาดงบประมาณอีกกว่า 50 ล้านบาท โดยเฉพาะแผนงานที่ 4 สนับสนุนหน่วยงานประจำจังหวัด ที่ต้องใช้ 50 ล้านบาท แต่ได้รับเพียง 35 ล้านบาท เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่อง สภาผู้บริโภคจึงเตรียมเสนอของบกลางปี 2569 ประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบเอไอในการนำไปวิเคราะห์เรื่องร้องเรียนกว่า 6,000 กรณี เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง พร้อมการนำมาเป็นกลไกสนับสนุนองค์กรผู้บริโภคใน 27 จังหวัดที่ยังไม่มีหน่วยงานประจำ และการขยายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค
สปน. แนะขอ “งบกลาง” ต้องชี้ชัดความจำเป็น หนุนให้ชี้แจงงบปี 70 โดยตรง
อิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมผลการดำเนินงานของสภาผู้บริโภค ในตัวชี้วัดทั้ง 9 ด้านมีผลอยู่ในระดับที่สูง และการใช้งบประมาณของสภาผู้บริโภคมีการรายงานตัวเลขที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงแนวทางการทำงานที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง พร้อมเสนอให้มีการเปรียบเทียบสถิติย้อนหลัง 3–5 ปีเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มปัญหาและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม
ขณะเดียวกันสภาผู้บริโภคได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถนำไปสู่การทบทวนนโยบายหรือกำหนดกฎหมาย ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องราวทุกข์ หรือเรื่องเรียนได้ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีกว่าการแก้ไขปัญหาแบบรายเรื่อง ส่วนแนวทางการของงบกลาง ต้องเป็นงบที่ใช้ได้เฉพาะกรณีเร่งด่วนและจำเป็นจริง รวมถึงต้องแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถปรับเกลี่ยจากงบที่มีอยู่ได้ อีกทั้งต้องแสดงว่าหากไม่ได้รับจะกระทบต่อภารกิจหลักหรือประชาชนโดยตรง
นอกจากนี้ เพื่อให้การทำงานคุ้มครองผู้บริโภคทุกส่วนสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ซึ่งในส่วนภาครัฐมี สคบ. เป็นหน่วยงานหลัก จึงเสนอให้สภาผู้บริโภคร่วมกับ สคบ. จัดทำ แผนงานระยะปานกลาง 1–3 ปีร่วมกับ ให้เห็นภาพภารกิจที่มีความชัดเจนเชื่อมโยงหนุนเสริมระหว่างกัน
เดินหน้าขยายองค์กรผู้บริโภคให้ครอบคลุม
วิทูรย์ บุตรสาระ ผู้รับผิดชอบโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรผู้บริโภคเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้บริโภคด้านสุขภาพ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เสริมว่า แนวทางขยายเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ จากในปัจจุบันมี 18 จังหวัด ที่องค์กรผู้บริโภคยังไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย และมีประมาณ 27 จังหวัด ยังไม่สามารถตั้งเป็นหน่วยงานประจำจังหวัดได้ตามระเบียบได้ โดยสภาผู้บริโภคได้ตั้งเป้าหมายในปี 2569 จะผลักดันให้มีองค์กรผู้บริโภคได้รับการรับรองเพิ่มอย่างน้อย 5 จังหวัด ได้แก่ อำนาจเจริญ สุโขทัย เพชรบูรณ์ ตาก และ ตรัง รวมถึงส่งเสริมให้ 15 องค์กรในจังหวัดที่มีอยู่แล้วผ่านการรับรองเพิ่มเติม พร้อมวางแผนขยายหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุม 77 จังหวัดในระยะต่อไป โดยได้มีการกำหนดช่วงเวลาที่ลงพื้นที่ชี้แจงขั้นตอนการเสนอรับรอง พร้อมขอรับการสนับสนุนจาก สปน.
ผู้ตรวจราชการ สปน. เห็นด้วยในประเด็นการลงพื้นที่ร่วมกัน โดยให้สภาผู้บริโภค จัดทำแผนเสนอเนื่องจาก สปน. ต้องเตรียมบุคลากรและงบประมาณด้วย
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคได้เสนอให้มีการจัดประชุมหารือร่วมกันทุกไตรมาส ระหว่างสภาผู้บริโภค กับผู้บริหาร สปน. ซึ่งเคยดำเนินการเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพื่อให้การประสานงานมีความใกล้ชิดและสามารถแก้ไขปัญหาอุปสรรคได้อย่างทันท่วงที โดยข้อเสนอดังกล่าวได้รับการเห็นด้วยจากผู้ตรวจราชการ สปน.
สำหรับการเสนองบประมาณปี 2569 เพิ่มเติม และแนวทางการเสนอคำของบประมาณ 2570 ที่ปฏิทินงบประมาณขยับเข้ามาเร็วขึ้น ผู้ตรวจราชการ สปน. ให้แนวทางว่าสภาผู้บริโภคต้องประสานงานกับ สปน. อย่างใกล้ชิดมาก หารือ timeline กันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับสำนักแผนงานฯ และเรื่องนี้มีขั้นตอนการดำเนินการหลายขั้นและต้องประสานงานหลายหน่วยงาน ทั้งนี้ สปน. พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



