
เมืองซานฟรานซิสโกสร้างแรงสั่นสะเทือนวงการอาหารโลก เมื่อยื่นฟ้องบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ระดับโลก ฐานผลิตและจำหน่าย “อาหารแปรรูปขั้นสูง” ต้นตอวิกฤตสุขภาพให้กับประชากร เป็นปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำช่องว่างกฎหมายด้านอาหารของไทย รับมือผลกระทบสุขภาพระยะยาวไม่ทันสถานการณ์ เร่งผลักดัน พ.ร.บ.อาหารฉบับสภาผู้บริโภค
ทางการเมืองซานฟรานซิสโกได้สร้างปรากฏการณ์สำคัญในวงการสาธารณสุข โดยการยื่นฟ้องบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ของโลก 10 แห่ง ได้แก่ Kraft Heinz Company, Mondelez International, Post Holdings, The Coca-Cola Company, PepsiCo, General Mills, Nestle USA, Kellogg, Mars Incorporated และ ConAgra Brands โดยกล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ทำการตลาดและจำหน่าย “อาหารแปรรูปขั้นสูง” (Ultra-Processed Foods: UPF) ทั้งที่รู้ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพและถูกออกแบบให้เกิดการเสพติด
การฟ้องร้องครั้งนี้ถือเป็นความพยายามครั้งแรก ในการดึงบริษัทอาหารขนาดใหญ่มาแสดงความรับผิดชอบต่อการแพร่กระจายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ส่งผลให้เกิด “วิกฤติด้านสาธารณสุข” และสร้างภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์มหาศาลให้กับรัฐบาลท้องถิ่น อาหารแปรรูปขั้นสูงคือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการซับซ้อน ประกอบด้วยสารเติมแต่งและส่วนผสมที่สกัดออกมาสูง เช่น น้ำตาลฟรุกโตสสูง ไขมันทรานส์ โดยถูกออกแบบให้มีรสชาติอร่อยจัด (Hyper-palatable) สะดวก และเข้าถึงง่ายทั้งด้านราคาและการตลาดที่มุ่งเป้าไปที่เด็กโดยเฉพาะ ซึ่งตัวอย่าง UPF ที่พบบ่อยคือ น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก และอาหารพร้อมทานต่าง ๆ
อาหารแปรรูปขั้นสูง (UPF) คืออะไร?
อาหารแปรรูปขั้นสูง หรือ Ultra-Processed Food (UPF) คืออาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนและหลายขั้นตอน ซึ่งแทบไม่ใช้วัตถุดิบดั้งเดิมหรือใช้ในสัดส่วนที่น้อยมาก แต่จะเน้นการเติมสารต่าง ๆ เช่น สี กลิ่น และรสสังเคราะห์ สารให้ความหวานเทียม สารกันบูด รวมถึงสารให้ความคงตัว (Emulsifiers) เพื่อให้อร่อย มีรสสัมผัสดีขึ้น และเก็บได้นาน แต่มักมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง เช่น ขนมขบเคี้ยว, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, น้ำอัดลม, ไส้กรอก, อาหารแช่แข็งสำเร็จรูป
นพ.ธนีย์ ธนียวัน อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด วิกฤตบำบัด และการปลูกถ่ายปอด ได้อธิบายว่า “อาหารแปรรูปขั้นสูง” ไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพเพียงเพราะแคลอรี่สูงเท่านั้น แต่ยังรบกวนกลไกการทำงานของร่างกายในหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่องน้ำตาลที่ดูดซึมเร็วผิดธรรมชาติ ในอาหารธรรมชาติ น้ำตาลยังถูกห่อหุ้มอยู่ในโครงสร้างเซลล์และมีกากใยช่วยชะลอการดูดซึม แต่ใน อาหารแปรรูปขั้นสูง โครงสร้างเหล่านี้ถูกทำลายหมด ทำให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระดับอินซูลินพุ่งสูง รู้สึกอร่อยและสดชื่นในช่วงสั้น ๆ ก่อนที่ระดับน้ำตาลจะตกฮวบ จนเกิดอาการหิว โหย และอยากกินซ้ำ วงจรนี้ไม่เพียงเพิ่มการบริโภคแคลอรี่โดยไม่รู้ตัว แต่ยังอาจนำไปสู่ “การติดหวาน” ทำให้หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียเมื่อไม่ได้กินของหวาน
นอกจากน้ำตาลแล้ว อาหารแปรรูปขั้นสูง ยังแฝงไปด้วยส่วนผสมที่กระทบสุขภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลเทียม ที่รบกวนสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ เพิ่มการอักเสบเรื้อรัง สารกันเสียและสารปรุงแต่งที่หากบริโภคซ้ำ ๆ อาจสะสมในร่างกาย รวมถึงโซเดียมในปริมาณสูงซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคไต ขณะเดียวกัน อาหารแปรรูปขั้นสูง แทบไม่เหลือสารอาหาร วิตามิน หรือใยอาหาร ส่งผลต่อระบบขับถ่ายและเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังหลายชนิด ตั้งแต่โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ไปจนถึงมะเร็งบางชนิด และยังมีข้อมูลเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปขั้นสูงได้ทั้งหมด แต่ผู้บริโภคยังสามารถ “ลดความเสี่ยง” ได้ด้วยการกินอย่างมีสติและเลือกซื้ออย่างรอบคอบ เช่น รับประทานหลังมื้ออาหารหลักหรือกินร่วมกับผัก โปรตีน และใยอาหาร เพื่อลดความเร็วในการดูดซึมน้ำตาล จำกัดปริมาณให้น้อยที่สุด ดื่มน้ำตามเพื่อช่วยเจือจางสารต่าง ๆ และที่สำคัญคืออ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียด ตรวจดูขนาดหน่วยบริโภค ปริมาณน้ำตาล และโซเดียม รวมถึงสลับยี่ห้อเป็นระยะ เพื่อลดความเสี่ยงจากการสะสมสารเคมีชนิดเดิมในร่างกาย
ต้นตอวิกฤตสุขภาพไทย
ภก.ภาณุโชติ ทองยัง อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ สภาผู้บริโภค ระบุว่า สถานการณ์อาหารแปรรูปขั้นสูงสะท้อนวิกฤตสุขภาพที่กำลังก่อตัวขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ปี 2567 พบว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ เป็น 3 อันดับโรคที่คนไทยเข้ารับการรักษามากที่สุด ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการบริโภคอาหารแปรรูปขั้นสูง และทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องแบกรับงบประมาณมากกว่า 52% หรือราว 1.3 หมื่นล้านบาทต่อปี ภาพสะท้อนดังกล่าวทำให้การฟ้องร้องของเมืองซานฟรานซิสโกกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญ ที่ส่งสัญญาณไปยังผู้ผลิตอาหารแปรรูปทั่วโลกให้ต้องปรับตัวและรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสุขภาพมากขึ้น
“ในทางการแพทย์มีหลักฐานชัดเจนว่าอาหารแปรรูปขั้นสูงส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่ความซับซ้อนของปัญหาอยู่ที่ผลกระทบเหล่านี้มักไม่ปรากฏทันที หากเป็นการสะสมต่อเนื่องยาวนาน จนพัฒนาเป็นโรคเรื้อรังในอนาคต ขณะที่กฎหมายความปลอดภัยด้านอาหารของไทยในปัจจุบันยังให้ความสำคัญกับการป้องกันอันตรายเฉียบพลัน เช่น อาหารปนเปื้อนหรือเป็นพิษ มากกว่าการควบคุมผลกระทบจากการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมในระยะยาว ทำให้การรับมือกับผลเสียจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสมยังไม่ทันต่อสถานการณ์” ภก.ภาณุโชติ กล่าวเพิ่มเติม
เมื่อพิจารณาถึงบริบทของการฟ้องร้องในประเทศไทย ภก.ภาณุโชติชี้ว่า ยังไม่เคยปรากฏคดีที่ผู้บริโภคหรือรัฐฟ้องร้องบริษัทอาหารแปรรูปขั้นสูงโดยตรง เนื่องจากการพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคกับการเกิดโรคต้องอาศัยข้อมูลทางวิชาการจำนวนมาก ใช้เวลานาน และมีต้นทุนสูง ทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคกำลังพยายามผลักดันแนวคิด “การค้าที่เป็นธรรม” เพื่อให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบมากขึ้น ไม่เพียงในแง่คุณภาพสินค้า แต่รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างรอบด้านและโปร่งใส
สำหรับมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน การกำกับดูแลยังจำกัดอยู่ที่การควบคุมการโฆษณาไม่ให้เกินจริงหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ภก.ภาณุโชติเน้นว่า ผู้ประกอบการควรมีความรับผิดชอบในการสื่อสารข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างความเข้าใจผิดหรือชักจูงเกินความจำเป็น โดยเฉพาะการโฆษณาที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าอาหารแปรรูปมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเกินความเป็นจริง พร้อมเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดในกระบวนการอนุญาตโฆษณาอาหาร เพื่อกลั่นกรองข้อความหรือภาพที่อาจก่อให้เกิดความคาดหวังผิดพลาด
เร่ง พ.ร.บ.อาหาร ฉบับสภาผู้บริโภค คุมความเสี่ยงสุขภาพ
ในระยะยาว ภก.ภาณุโชติระบุว่า การผลักดันพระราชบัญญัติอาหาร ฉบับสภาผู้บริโภค จะเป็นกลไกสำคัญในการรับมือปัญหาอาหารแปรรูปขั้นสูง โดยกฎหมายจะให้น้ำหนักกับแนวคิด “ความรับผิดชอบร่วมกัน” ของผู้ประกอบธุรกิจอาหารตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้โฆษณา ไปจนถึงผู้จำหน่าย ควบคู่กับการยกระดับบทบาทภาครัฐในการพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค ผ่านการให้ความรู้ที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการให้ข้อมูลเชิงทฤษฎีเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ปรับปรุงระบบฉลากอาหารให้เป็นธรรมและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนา “ฉลากสัญญาณไฟจราจร” ให้ชัดเจน ทันสมัย และมองเห็นได้เด่นชัด อาจรวมถึงการเพิ่มคำเตือนหรือขนาดตัวอักษรที่ใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ รวมถึงการผลักดันกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กและทารก ซึ่งได้รับผลกระทบจากอาหารแปรรูปขั้นสูงได้รุนแรงกว่าในระยะยาว โดยทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบอาหารที่คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



