ชงรัฐแก้ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์เซลล์ มุ่งเน็ตมิเตอร์ริง เพิ่มพลังงานหมุนเวียน

Getting your Trinity Audio player ready...
ชงรัฐแก้ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์เซลล์ มุ่งเน็ตมิเตอร์ริง เพิ่มพลังงานหมุนเวียน

จากกรณีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ นั้น สภาผู้บริโภคได้ขานรับการเปิดเส้นทางทางกฏหมายในการใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างยั่งยืน

ชงรัฐแก้ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์เซลล์ มุ่งเน็ตมิเตอร์ริง เพิ่มพลังงานหมุนเวียน  : ผศ.ประสาท มีแต้ม

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ของสภาผู้บริโภค กล่าวว่า การเกิดขึ้นของร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (พ.ร.บ. ส่งเสริมโซลาร์เซลล์) ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื้อหาใน พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญคือการกำหนดหลักเกณฑ์ให้การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ลดขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐที่ซ้ำซ้อน และลดภาระของประชาชนและผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด และยังไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญที่แท้จริงของการใช้โซลาร์เซลล์ในประเทศไทยได้

ผศ.ประสาทให้ข้อมูลว่า ปัญหาสำคัญที่สุดในเรื่องการติดโซลาร์เซล์บนหลังคาบ้าน คือข้อจำกัดจากภาครัฐที่ไม่อนุญาตให้ไฟฟ้าไหลย้อนกลับเข้าระบบสายส่ง และไม่มีระบบเน็ตมิเตอร์ริง (Net Metering) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากหลังคาบ้านของตนอย่างเต็มที่ แม้ว่าต้นทุนของการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์จะลดลงจากอดีตมากกว่า 60-70%  แต่เงื่อนไขของรัฐก็เป็นสาเหตุให้ประชาชนไม่สามารถใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้อย่างคุ้มค่า และต้องใช้ระยะเวลานานถึง 16 – 17 ปีจึงจะถึงจุดคุ้มทุน                             

“ในความเป็นจริง เจ้าของบ้านส่วนใหญ่จะอยู่บ้านเพียง 8 – 9 วันต่อเดือน ทำให้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองได้แค่ 28% ของทั้งหมด เมื่อคำนวณต้นทุนต่อหน่วยแล้วอยู่ที่ราว 3.60 บาท และต้องใช้เวลากว่า 16-17 ปีถึงจะคืนทุน อีกทั้งยังไม่รวมดอกเบี้ยหรือต้นทุนแฝงอื่น ๆ”

เมื่อถามถึงสิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการต่อหลังจากนี้ ผศ.ประสาท มีข้อเสนอใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) ต้องมีการปรับแก้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว โดยกำหนดให้ใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริงหรือเพิ่มเรื่องการใช้แบตเตอรี่ในระบบโซลาร์รูฟท็อป เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและทำให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง และ 2) การตั้งเป้าหมายเรื่องการใช้พลังงานหมุนเวียนโดยกำหนดเป็นกฎหมาย เช่น การกำหนดเป้าหมายว่า ในปี 2568 จะมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการใช้พลังงานทั้งหมด และควรมีการทบทวน ปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวอยู่เป็นประจำ

“หากเป้าหมายด้านพลังงานถูกระบุลงในกฎหมาย นั่นแปลว่าต้องผ่านความเห็นจากสภาผู้แทนราษฎรและเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ขณะที่แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือแผน PDP (Power Development Plan) นั้น เป็นเพียงแผนที่ถูกกำหนดขึ้นโดยรัฐบาล ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะมีการกำหนดเป้าหมายหรือไม่ ทั้งยังมีปัญหาเรื่องการรับฟังความเห็นจากภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน” อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ ระบุ

อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ ยกตัวอย่างแนวทางการดำเนินนโยบายในต่างประเทศ โดยระบุว่า มีอย่างน้อย 68 ประเทศทั่วโลก ที่ใช้ระบบหักลบกลบหน่วยไฟฟ้า (Net Metering) ซึ่งช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถฝากไฟฟ้าที่ผลิตได้ไว้ในสายส่ง และนำกลับมาใช้เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงเย็น โดยไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศแต่อย่างใด ส่วนบางประเทศที่ไม่มีนโยบายเรื่องหักลบกลบหน่วย ก็จะมีนโยบายส่งเสริมให้ติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี่) ซึ่งแม้จะมีราคาสูง แต่ภาครัฐก็จะมีมาตรการสนับสนุนโดยลดหย่อนภาษี

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคเห็นว่า หากรัฐบาลต้องการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดอย่างแท้จริง และทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงระบบตามที่ร่างกฎหมายตั้งเป้าไว้ จำเป็นต้องยกเลิกข้อห้ามไฟฟ้าไหลย้อน และพิจารณานำนโยบายเน็ตมิเตอร์ริง สนับสนุนเรื่องแบตเตอรี่ หรือมาตรการจูงใจอื่น ๆ เข้ามาใช้ร่วมด้วย เพื่อให้การลงทุนของภาคประชาชนเกิดความคุ้มค่าอย่างแท้จริง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนุน “ติดโซลาร์ ลดหย่อนภาษี” เสนอ 6 มาตรการเร่งด่วน ลดภาระค่าไฟยั่งยืน

ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. ….