| Getting your Trinity Audio player ready... |

แม้เพิ่งเปิดเทอมได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ แต่ประเทศไทยกลับต้องพบกับอุบัติเหตุ “รถรับส่งนักเรียน” อย่างน้อย 3 ครั้งในเวลาไม่ถึง 5 วัน จนมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินครั้งแล้ว ครั้งเล่า ถึงเวลาต้องปฏิรูปปัญหาที่เรื้อรังมานาน
เช้าวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา รถสองแถวรับส่งนักเรียนเฉี่ยวชนกับรถบัส มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 28 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ต่อมาในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เกิดอุบัติเหตุอีก 2 ครั้ง ที่จังหวัดขอนแก่นมีกรณีรถเก๋งเสียหลักพุ่งชนรถตู้รับส่งนักเรียน มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย และเหตุเพลิงไหม้รถตู้รับส่งนักเรียนในจังหวัดอุดรธานี ที่แม้เหตุสุดท้ายจะไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อน “ปัญหาเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน” ที่เรื้อรังมานานและต้องเร่งแก้ไข
อุบัติเหตุซ้ำซาก ปัญหา “รถรับส่งนักเรียน” ยังไม่ถูกแก้ไข
ข้อมูลจากการรวบรวมแหล่งข่าวด้านอุบัติเหตุทางอินเทอร์เน็ตของสภาผู้บริโภค ระบุว่า ระหว่างปี 2566 – 2568 เกิดอุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียน กว่า 80 ครั้ง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มากกว่า 780 ราย และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 ราย แม้เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ทุกหน่วยงานจัดทำแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยบนท้องถนนสำหรับเด็กอย่างจริงจัง แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข อุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียนยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และเกิดความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ปี 2567 มีรถรับส่งนักเรียนที่ได้รับอนุญาตเพียง 5,042 คัน ในขณะที่ประมาณการว่ารถรับส่งนักเรียนทั่วประเทศมากกว่า 50,000 คัน ซึ่งหมายความว่ามีรถรับส่งนักเรียนกว่า 45,000 คัน หรือ 90% ของทั้งหมดที่ไม่มีใบอนุญาต โดยรถเหล่านี้อาจมีสภาพทรุดโทรมและไม่ได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ส่งผลให้นักเรียนกว่า 540,000 คน (เปรียบเทียบรถรับส่งนักเรียน 1 คัน บรรทุกนักเรียน 12 คน ตามกฎหมาย) ต้องเผชิญความเสี่ยงในการเดินทางด้วยรถที่ไม่มีมาตรฐานและการจัดการความปลอดภัยอย่างเพียงพอ
5 ปัจจัยหลัก ต้นเหตุสำคัญ
อุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียนในแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องของ “โชคร้าย” แต่คือภาพสะท้อนของปัญหาที่ฝังรากลึก ทั้งในระดับพฤติกรรมบุคคล ไปจนถึงระบบกำกับดูแลของรัฐ โดยหากมองลึกลงไปในรายละเอียดจะแยกสาเหตุของปัญหาได้เป็น 5 ประการใหญ่ ๆ ได้แก่
1. ความประมาทของคนขับ เช่น ขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่ชะลอเมื่อถึงทางแยก หลับใน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร งานวิจัยด้านความปลอดภัยบนท้องถนนระบุว่า “การหลับใน” เป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุรถโดยสารในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนปัญหาการทำงานเกินเวลาและขาดการอบรมคนขับที่ได้มาตรฐาน
2. สภาพรถที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากรถหลายคันมีสภาพเก่า หลายคันถูกดัดแปลงจนผิดกฎหมายเพื่อบรรทุกนักเรียนได้มากขึ้น เช่น รถตู้ถอดเบาะใส่เบาะยาว หรือรถหกล้อโดยสารที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อรับนักเรียนโดยตรง หรือรถสองแถวที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันด้านความปลอดภัย เป็นต้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ โครงสร้างที่ไม่แข็งแรงและไม่มีอุปกรณ์นิรภัย ทำให้ความเสียหายรุนแรงขึ้นทันที
3. การกำกับดูแลที่หย่อนยาน ปัญหาคลาสสิกของไทยคือ “มีกฎหมายแต่ไม่บังคับใช้จริง” รถจำนวนมากไม่ขึ้นทะเบียน ขาดการตรวจสภาพ หรือแม้แต่ผ่านการตรวจแต่อาจจะยังมันใจไม่ได้ว่าปลอดภัยจริงหรือไม่ สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างการจัดการความปลอดภัยทั้งระบบ
4. สภาพแวดล้อมรอบโรงเรียนที่ไม่เอื้อต่อความปลอดภัย หลายโรงเรียนไม่มีจุดจอดรถรับส่งที่ชัดเจน ถนนหน้าโรงเรียนคับแคบ ไม่มีทางเท้า หรือจุดรับส่งนักเรียนปะปนกับรถยนต์ทั่วไป ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทุกเช้าเย็น
5. การขาดระบบข้อมูลและการติดตามผล กรมการขนส่งทางบกไม่มีข้อมูลจำนวนรถรับส่งนักเรียนที่แท้จริงโดยเฉพาะรถที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนว่ามีจำนวนเท่าใดส่งผลให้การกำกับดูแลด้านความปลอดภัยและการบังคับใช้กฎหมายไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของนักเรียนและอุปสรรคในการวางนโยบายจัดระเบียบระบบขนส่งนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มีฐานข้อมูลกลางที่บันทึกเส้นทาง คนขับ รถ และพฤติกรรมการขับขี่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อการวิเคราะห์และป้องกันเชิงรุก
เสนอแนวทาง สู่เป้าหมายอุบัติเหตุเป็นศูนย์
คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ระบบรถรับส่งนักเรียนกลายเป็น “ระบบขนส่งที่ปลอดภัย” แทนที่จะเป็น “จุดเสี่ยงของชีวิตเด็ก”
แนวทางหนึ่งที่หลายฝ่ายเสนอคือ การบังคับใช้มาตรฐานอย่างจริงจัง ทั้งของกระทรวงศึกษาธิการและกรมการขนส่งทางบก ในส่วนการขึ้นทะเบียน การออกใบรับรอง ตรวจสภาพรถทุกคัน และจำกัดจำนวนผู้โดยสารตามกฎหมาย พร้อมบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับผู้ประกอบการและโรงเรียนที่ละเมิด นอกจากนี้ควรสร้างระบบข้อมูลและการเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ ให้ผู้ปกครอง ครู และหน่วยงานท้องถิ่นสามารถรายงานปัญหาได้ เช่น รถขับเร็ว จุดจอดไม่ปลอดภัย หรือพฤติกรรมคนขับที่น่ากังวล
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการ ปลูกฝัง “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ตั้งแต่ระดับโรงเรียนและครอบครัว เช่น อบรมคนขับและครูให้เข้าใจขั้นตอนการดูแลนักเรียนในรถทุกเช้าเย็น รวมถึงสร้างช่องทางสื่อสารให้ผู้ปกครองรับรู้เส้นทาง เวลา และข้อมูลรถของลูกผ่านระบบดิจิทัล และสุดท้ายคือ การจัดสภาพแวดล้อมรอบโรงเรียนให้ปลอดภัย เช่น แยกเลนรถรับส่งนักเรียน ทำทางเท้าและรั้วกั้น สร้างจุดรับส่งที่ชัดเจน พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดหรือระบบจีพีเอส (GPS) เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่
เดินหน้าโครงการ เพื่อความปลอดภัยของเด็ก ๆ
ในมุมของการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้บริโภคได้ร่วมมือกับ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พัฒนา “เกณฑ์ประเมินความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กนักเรียน” ซึ่งจะใช้เป็นแนวทางต้นแบบขยายผลไปทั่วประเทศโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานและกำกับดูแลในเรื่องความปลอดภัย
นอกจากนี้ ในปี 2568 – 2570 สภาผู้บริโภคได้จัดโครงการ “ความร่วมมือสานพลังท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาขนส่งสาธารณะไร้รอยต่อที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกคนขึ้นได้” ซึ่งหนึ่งเป้าหมายของโครงการ คือการร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรผู้บริโภคใน 12 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง น่าน สงขลา ภูเก็ต ปัตตานี ขอนแก่น สุรินทร์ ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานครเพื่อพัฒนาระบบบริการขนส่งสาธารณะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการผลักดันมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของเด็ก ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีการสำรวจและออกแบบการเดินทางที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและลักษณะของแต่ละพื้นที่ด้วย
ก่อนหน้านี้ ในช่วงปี 2566 – 2568 สภาผู้บริโภค ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 6 ภูมิภาค ได้ผลักดัน “โครงการแผนงานร่วมทุนเพื่อพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยและเป็นธรรม” โดยจัดตั้งโรงเรียน“ศูนย์เรียนรู้การจัดการรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย” 20 โรงเรียน ใน 15 จังหวัด โดยมีกรอบพัฒนาชัดเจน 5 เกณฑ์ 9 องค์ประกอบ ตั้งแต่การสร้างระบบข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งรถ นักเรียน เส้นทาง อีกทั้งยังสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มคนขับเพื่อสร้างมาตรฐานร่วม การจัดจุดจอดปลอดภัย ไปจนถึงการสร้างคณะทำงานร่วมระหว่างครู ผู้ปกครอง และท้องถิ่น เพื่อให้การดูแลนักเรียนเป็นระบบและยั่งยืน
สำหรับกรอบการพัฒนาโรงเรียนศูนย์เรียนรู้ฯ 5 เกณฑ์ ได้แก่ 1. มีพื้นที่เรียนรู้ทางกายภาพ (มีรถรับ-ส่งนักเรียน มีพื้นที่จุดจอด) 2. มีองค์ความรู้เรื่องจัดการรถรับ-ส่งนักเรียน 3. มีบุคลากรจัดการที่รับผิดชอบ 4. มีรูปแบบการจัดการศูนย์เรียนรู้ และ 5. มีแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
ส่วน องค์ประกอบ 9 ประการที่จะทำให้เกิดระบบรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย ได้แก่ 1.ระบบข้อมูลนักเรียน รถ คนขับ เส้นทาง พฤติกรรมคนขับ 2. ระบบเฝ้าระวัง ให้ผู้เกี่ยวข้องช่วยรายงานปัญหา 3. มีระบบการดูแลนักเรียนในรถที่ถูกต้อง ทั่วถึง 4. มีการรวมกลุ่มคนขับ สร้างข้อปฏิบัติและวางแผนร่วมกัน 5. ต้องมีมาตรฐาน ตรวจสอบสภาพรถ และขึ้นทะเบียนกับขนส่ง 6. มีจุดจอดรถที่ปลอดภัย และระบบความปลอดภัยหน้าโรงเรียน 7. มีระบบคณะทำงานและหลักเกณฑ์เพื่อติดตามประเมินผลทั้งระบบ 8. มีกลไกจัดการโดยครู นักเรียน กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และ 9. มีคณะทำงานระดับอำเภอหรือจังหวัด
นี่เป็นเพียงส่วนนึ่งของการขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยของเด็ก ๆ ที่สภาผู้บริโภคดำเนินการ นอกจากนี้ยังมีองค์กรผู้บริโภค และอีกหลายหน่วยงานที่ขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ หยุดความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ
ความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กนักเรียน คือสิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะต่อให้ระบบการศึกษาจะดีเพียงใด หากเส้นทางไปโรงเรียนเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตราย ความรู้และความฝันของเด็ก ๆ ก็อาจต้องจบลง
ความปลอดภัยบนถนนจึงเป็น “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ที่เด็กทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียม และ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันรับผิดชอบ ทั้งภาครัฐ โรงเรียน ผู้ปกครอง รวมทั้งผู้ประกอบการ เพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสเติบโต เรียนรู้ และกลายเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หวิดโศกนาฏกรรม ไฟไหม้รถตู้รับส่งนักเรียน พระคุ้มครองเด็กๆออกจากรถแล้ว
- บาดเจ็บกว่า 23 ราย อุบัติเหตุรถสองแถวรับส่งนักเรียน ชนบัสโดยสาร คนขับเสียชีวิต
- สลด เก๋งเสียหลักพุ่งเสย รถตู้รับส่งนักเรียน พลิกคว่ำทับร่างนักเรียน เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 3 ราย รถพังยับเยิน เจ้าหน้าที่เร่งช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล
- ครม.ยกระดับรถรับส่งนักเรียน ให้มหาดไทยกำหนดเป็นเรื่องระดับชาติ
- ลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์ ! รถนักเรียน “ต้องปลอดภัย”
- รถรับ-ส่งนักเรียน ต้องปลอดภัย


