Getting your Trinity Audio player ready... |

ชำแหละร่าง พ.ร.บ. โซลาร์เซลล์ ของรัฐบาล ไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้โซลาร์อย่างแท้จริง ไม่ทำให้ประชาชนใช้ศักยภาพโซลาร์เซลล์ได้เต็มที่ สภาผู้บริโภคเสนอให้เพิ่มระบบ “เน็ตมิเตอร์ริง” และกำหนดเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจนลงในกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองได้เต็มประสิทธิภาพ
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ใคร ๆ ก็พูดถึงพลังงานสะอาดและเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) การที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าผลักดัน ร่าง “พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” จึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม การมุ่งหวังให้ประชาชนหันมาติดโซลาร์เซลล์อย่างจริงจังนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด… ซ้ำร้ายไปกว่านั้น สิ่งที่เป็นอุปสรรคของเป้าหมายดังกล่าว ก็คือ “นโยบายของรัฐ” นั่นเอง
สภาผู้บริโภคชวนทุกคนไปเจาะลึกเรื่องปัญหาของ พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กับ ผศ. ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ซึ่งจะมาตีแผ่ว่ากฎหมายฉบับนี้ “เกาไม่ถูกที่คัน” ได้อย่างไร
กติกาของรัฐ บังแดดประชาชน

ก่อนจะลงรายละเอียดเรื่องกฎหมาย อยากชวนทุกคนทำความเข้าใจให้เห็นภาพร่วมกันว่า ทำไม “โซลาร์เซลล์” ถึงยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย ทั้งที่ปัจจุบันต้นทุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างมาก
ผศ.ประสาท เล่าว่า หากย้อนหลังไป 10 ปีก่อน ปัญหาหลักที่ทำให้คนไม่นิยมติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพราะต้นทุนในการติดตั้งมีราคาสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยแพงกว่าการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าที่มาตามสายส่ง แต่ในปัจจุบันต้นทุนอุปกรณ์ติดตั้งโซลาร์เซลล์ทั้งชุดได้ลดลงถึงกว่า 60-70% ถ้าเจ้าของบ้านที่ติดโซลาร์เซลล์ได้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้เองทั้งหมดทุกหน่วย ต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.0-1.10 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ในขณะที่ค่าไฟฟ้าที่มาจากสายส่งเมื่อรวมภาษีแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 4.20-4.50 บาทต่อหน่วย ถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ในเมื่อราคาอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ลดลงไปกว่า 60-70% และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเองก็ถูกแสนถูก แล้วทำไมบ้านเราถึงยังไม่ได้รับความนิยมเหมือนประเทศอื่น ๆ
คำตอบก็คือ นโยบายของภาครัฐเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์ของภาคประชาชน โดยปัญหาสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคครัวเรือน นั่นคือข้อกำหนดของรัฐที่ “ห้ามไฟฟ้าที่ครัวเรือนผลิตได้มากในตอนกลางวันไหลย้อนกลับสู่สายส่ง แล้วสามารถดึงกลับมาใช้ในตอนกลางคืนได้” จึงเป็นสิ่งที่ ผศ.ประสาทกล่าวเปรียบเทียบว่า “กติกาของรัฐ บังแดดประชาชน”
กติกาข้อนี้ทำให้เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ที่ต้องออกไปทำงานตอนกลางวัน มีโอกาสใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองจากแสงแดดได้เพียงประมาณ 28% ซึ่งเมื่อนำไปคำนวณต้นทุนแล้ว ทำให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาหน่วยละประมาณ 3.60 บาท และมีระยะเวลาคืนทุนที่ยาวนานถึง 16 – 17 ปี
นี่คือหัวใจของปัญหาที่แท้จริง ดังนั้นต่อให้รัฐบาลทำให้กระบวนการติดตั้งสะดวก รวดเร็วแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนเกิดแรงจูงใจหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น เปรียบเหมือนกับการ “เกาไม่ถูกที่คัน” นั่นเอง
พ.ร.บ. ส่งเสริมโซลาร์ฯ… เสียเวลาเปล่า?
สำหรับ “ร่าง พ.ร.บ. การส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. …” ที่รัฐบาลมีมติรับหลักการไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผศ. ประสาทให้ความเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ออกมาด้วยเหตุผลหลักคือ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สะดวกและรวดเร็วขึ้น และลดขั้นตอนที่ซับซ้อนเพื่อจูงใจให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์ในภาครัวเรือน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การลดภาระค่าใช้จ่าย การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแตะเพียง “กระบวนการติดตั้งให้สะดวกขึ้น” โดยไม่ได้แก้ไขกติกาที่ภาครัฐกำหนดไว้
“แม้รัฐบาลจะอ้างถึงประโยชน์ของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่การมุ่งแก้ไขเพียงกระบวนการติดตั้งโดยไม่แตะต้องเรื่องการนำไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ก็เหมือนเป็นการเสียเวลาเปล่า และทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่สามารถบรรลุผลได้จริง” ผศ.ประสาทระบุ
สำหรับแนวทางการปรับปรุงแก้ไข อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ มีข้อเสนอ 2 เรื่อง คือ หนึ่ง ต้องมีการปรับแก้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว โดยกำหนดให้ใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริง (Net Metering) หรือระบบการหักลบกลบหน่วยไฟฟ้า โดยระบบนี้จะทำให้ไฟฟ้าที่ประชาชนผลิตได้เกินในตอนกลางวัน แล้วนำส่วนที่เหลือไม่ได้ใช้ จ่ายกลับเข้าไปที่การไฟฟ้า เปรียบเสมือนการ “ฝากไฟฟ้า” เพื่อดึงไฟฟ้ากลับมาไว้ใช้ในเวลากลางคืนได้ทันที ทำให้ประชาชนสามารถใช้ไฟฟ้าในจำนวนหน่วยที่ตนเองผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟช่วงกลางคืนที่ไม่มีแสงแดดอย่างเช่นปัจจุบัน ระบบดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าที่ตัวเองสร้างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวรัฐบาลอาจเริ่มใช้กับกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือเฉพาะกลุ่มเปราะบางอย่างเดียวในขั้นแรก พร้อมยืนยันว่า “สำหรับประชาชนทั่วไปผมว่าเพิ่มการส่งเสริมการใช้แบตเตอรี่เข้าไปในในระบบโซลาร์รูฟท็อป เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และช่วยทำให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง”
ส่วนประเด็นที่สองที่รัฐบาลควรเพิ่มเติมใน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว คือ การระบุเป้าหมายในการขับเคลื่อนเรื่องพลังงานสะอาด ทั้งจากโซลาร์เซลล์รวมถึงพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ไว้ใน ร่าง พ.ร.บ. ด้วย เพื่อเป็นเหมือนตัวชี้วัดให้สภาผู้แทนราษฎรได้ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายบริหารด้วย
มาตรการส่งเสริม โซลาร์เซลล์ ในต่างประเทศ
เมื่อถามถึงมาตรการของประเทศอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ผศ.ประสาท ให้ข้อมูลว่า ในต่างประเทศมีการสนับสนุนและออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้โซลาร์เซลล์ในหลายรูปแบบ เช่น การออกกฎหมาย การให้เงินอุดหนุน การออกนโยบายด้านภาษี เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง อาทิ
สหรัฐอเมริกา: ออกกฎหมายที่ชื่อว่า “Inflation Reduction Act” เมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อ โดยมีการให้เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัยที่เรียกว่า “Residential Clean Energy Credit” 30% ของค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ซึ่งกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ไปจนถึงปี 2575
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) พบว่าในช่วง 7 เดือน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – เดือนเมษายน 2567 ในสหรัฐฯ มีผู้ติดตั้งโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่โดยใช้ระบบ เน็ตมิเตอร์ริงรวม 232 เมกะวัตต์ หรือมากกว่า 40,000 ระบบ
ออสเตรเลีย: รัฐบาลมีโครงการ Cheaper Home Batteries สำหรับเจ้าของบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก โดยตั้งเป้าว่าจะส่งเสริมให้มีการติดตั้งแบตเตอรี่จำนวน 1 ล้านระบบ ภายในปี 2573 ซึ่งในเดือนแรกของโครงการ มีการติดตั้งแบตเตอรี่เกือบ 20,000 ระบบ ซึ่งมากกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนที่ติดตั้งในประเทศออสเตรเลียในปี 2024 ทั้งปี
ปากีสถาน: ประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริง ซึ่งช่วยให้ส่วนแบ่งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 25% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2025
เวียดนาม: มีแผนพัฒนาพลังงานที่เรียกว่า Power Development Plan VIII (PDP8) ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นโดยกำหนดเป้าหมายใหญ่ให้ 50% ของอาคารสำนักงานและบ้านเรือนที่อยู่อาศัยติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาได้ภายในปี 2030 โดยมีการออกนโยบายที่หลากหลาย เช่น รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากผู้ผลิตรายย่อยในราคาที่กำหนด การยกเว้นภาษีและการให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น
เยอรมนี: มีมาตรการสนับสนุนที่หลากหลาย เช่น เงินอุดหนุนโดยตรง ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีรายได้สำหรับระบบแบตเตอรี่ รวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการติดตั้งระบบโซลาร์และแบตเตอรี่ นอกจากนี้ เยอรมนียังมีกฎหมายที่ชื่อว่า EEG2023 ซึ่งระบุเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 80% ภายในปี 2030
กลับมาที่ประเทศไทย ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ความสามารถในการพึ่งตนเองด้านพลังงานของประเทศไทยได้ลดลง 4-5 เท่า แม้ทุกวันนี้จะมีเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถนำแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้าใช้ได้ในราคาถูก แต่นโยบายของรัฐกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ได้อย่างมัประสิทธิภาพ
บทสรุปของเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่คือการตัดสินใจเชิงนโยบายที่กล้าหาญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ซึ่ง ผศ.ประสาทเปรียบเทียบเหมือนเป็นการ “ผ่าตัดใหญ่” เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด เพื่อปลดล็อกศักยภาพของพลังงานหมนุเวียนอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นคือการอนุญาตให้มีระบบเน็ตมิเตอร์ริงเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าที่ผลิตเองได้อย่างเต็มที่ หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางเดิม ความก้าวหน้าเรื่องการใช้พลังงานหมุนเวียนคงจะอยู่ไกลเกินจะคว้า แต่สภาผู้บริโภคจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป เพื่อกระตุ้นเตือนให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่าง “ถูกที่คัน” อย่างแท้จริง