ชง 17 ข้อ พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ รับฟังครู-ผู้เรียน เปลี่ยนให้ทันยุคดิจิทัล

ชง 17 ข้อ พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ รับฟังครู-ผู้เรียน เปลี่ยนให้ทันยุคดิจิทัล

สภาผู้บริโภค ร่วมกับทีมวิจัยคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอผลวิจัยร่างพ.ร.บ.การศึกษาไทยเทียบ 6 ประเทศ แนะให้ยึดครู นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยทุก 5 – 10 ปี ให้ก้าวทันยุคดิจิทัล และความปลอดภัยไซเบอร์ ชง 17 ข้อเสนอสำคัญบรรจุในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ ยกระดับการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ ย้ำต้องทำจริง ไม่ใช่แค่สร้างวาทกรรมเพื่อหาเสียงทางการเมือง

ชง 17 ข้อเสนอร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ

ผศ.ดร.สุรศักดิ์ เก้าเอี้ยน หัวหน้าทีมวิจัย ได้เปิดเผยข้อค้นพบจากการศึกษาและวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ตลอดระยะเวลา 6 เดือน (เมษายน – ตุลาคม 2568) โดยสรุปเป็นข้อเสนอสำคัญ 17 ข้อ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ ที่สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมและความต้องการของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นให้ระบบการศึกษาออกแบบบนฐาน “ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ความเสมอภาค และความยืดหยุ่นของระบบการศึกษาไทย

สาระสำคัญของข้อเสนอ 17 ข้อ เริ่มต้นจากการกำหนด 1.วิสัยทัศน์และหลักการ ของกฎหมาย ที่ควรเน้นความยืดหยุ่น การจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ และสมดุลระหว่างอิสระของสถานศึกษากับนโยบายส่วนกลาง 2. บัญญัติสิทธิผู้เรียนอย่างชัดเจน ครอบคลุมการเข้าถึงการศึกษา การคุ้มครอง การร้องเรียน และบริการพื้นฐาน เช่น อาหารกลางวัน สุขภาวะ และการสนับสนุนจิตวิทยาเด็ก โดยเน้นว่าการศึกษาควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่เลือกปฏิบัติ

3. โครงสร้างของกฎหมาย ต้องมีลักษณะ “ร่มใหญ่” ที่กำหนดแนวทางกว้าง ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างยืดหยุ่น 4. โครงสร้างบริหาร เน้นกระจายอำนาจเชิงปฏิบัติสู่ระดับจังหวัด ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน 5. เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม เด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง อีกทั้งยังเสนอให้การศึกษาควรเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ คือการให้ความรู้กับพ่อแม่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างมีคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง

6. เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ เสนอให้ใช้ระบบ เครดิตแบงก์ เพื่อเปิดทางให้ผู้เรียนสามารถเทียบโอนความรู้จากทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาได้ 7. ออกแบบหลักสูตรให้มีความหลากหลาย ไม่ยึดติดกรอบตายตัว เปิดให้สถานศึกษาบูรณาการสาระความรู้ข้ามวิชา และพัฒนาเนื้อหาร่วมกับชุมชนท้องถิ่น

8. – 9. การประเมินและคุณภาพครู ก็เป็นอีกประเด็นที่ได้รับความสนใจ โดยเสนอให้ลดภาระเอกสารของครู เปลี่ยนแนวทางประเมินเพื่อการพัฒนา ให้สิทธิครูในการพัฒนาวิชาชีพขั้นต่ำต่อปี 10.ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกและผลิตครูที่มีสมรรถนะสูง สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่

11. การส่งเสริมเทคโนโลยีและการเปิดเผยข้อมูลการศึกษา 12. การบริหารงบประมาณที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส 13. การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยของผู้เรียน โดยเฉพาะความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ยังไม่เคยปรากฏในร่างกฎหมายฉบับใด .14. การศึกษาเชิงพื้นที่ โดยให้อำนาจจังหวัดในการออกแบบจุดเน้นการเรียนรู้ เพื่อให้การศึกษาตอบโจทย์บริบทท้องถิ่นได้จริง

15. มีกลไกติดตามการเปลี่ยนผ่านและทบทวนกฎหมาย โดยคณะผู้วิจัยยังเสนอให้มีกลไกสำหรับการเปลี่ยนผ่านและการทบทวนกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุก 5 หรือ 10 ปี เพื่อให้เป้าหมายการศึกษาไม่ล้าหลัง 16. มีระบบประกันคุณภาพ ที่ไม่ผูกติดกับเอกสารและการประเมินที่เป็นทางการมากเกินไป เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมิน และ 17. มีกลไกความรับผิดชอบ ที่ตรวจสอบได้จริง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดผลในทางปฏิบัติ ไม่ใช่แค่เพียงในทางทฤษฎี

ข้อเสนอทั้ง 17 ประการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการพลิกโฉมระบบการศึกษาไทยให้ “ยืดหยุ่น เป็นธรรม และมีคุณภาพ” โดยเฉพาะการออกแบบกฎหมายที่ไม่เพียงตอบโจทย์ของรัฐ แต่ยังต้องตอบโจทย์ของผู้เรียน ชุมชน และสังคมไทยในภาพรวม

‘วาทกรรม’ กับ ‘ความจริงหน้างาน’

ศุภโชค ปิยะสันติ์ อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ได้แสดงความเห็นและข้อเสนอแนะในฐานะผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ใกล้ชิดกับสถานศึกษาจริง โดยระบุว่า ช่องว่างระหว่างหลักการในกฎหมายกับการปฏิบัติในชีวิตจริงที่ยังคงเป็นปัญหาสำคัญมายาวนาน หลายข้อความในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาที่ผ่านมาเป็นเพียง วาทกรรมที่ไพเราะ แต่ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ในระดับโรงเรียน นอกจากนี้ โรงเรียนยังต้องเผชิญกับความวุ่นวายจากนโยบายที่หลากหลายและซ้ำซ้อน เช่น โครงการโรงเรียนคุณธรรม โรงเรียนสีขาว และแนวนโยบายอื่น ๆ ที่มากระทบโดยตรงต่อภาระงาน ขณะเดียวกัน ระบบประกันคุณภาพที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ร.บ. ปี 2542 ก็ถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้ช่วยอะไร เนื่องจากเน้นเพียงการตรวจสอบเอกสารมากกว่าการพัฒนาคุณภาพที่แท้จริง

ในส่วนของข้อเสนอเชิงหลักการ นายศุภโชค เสนอให้ผู้ร่างกฎหมายตกลงกันให้ชัดเจนว่าต้องการให้ พ.ร.บ. มีลักษณะเป็นกฎหมายร่มใหญ่ หรือจะลงรายละเอียดให้ครบถ้วน เพราะหากไม่มีฉันทามติที่ชัดเจน อาจนำไปสู่ความสับสนในการขับเคลื่อน พร้อมย้ำว่าแก่นแท้ของการศึกษา คือ การเรียนรู้ ไม่ใช่แค่การสอน อีกทั้งเสนอให้มีองค์กรนโยบายกลางที่เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ทิศทางนโยบายการศึกษาแกว่ง ไปตามรัฐมนตรีหรือผู้มีอำนาจที่เปลี่ยนไปตามวาระทางการเมือง

“ถ้าเราปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปตามอำเภอใจของนักการเมือง จะเป็นกลายเป็นวาทะกรรมทางการเมือง เพื่อหาคะแนนเสียง และผลกระทบจะตกมาอยู่ที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่จะหาทิศทางไม่เจอ และเกิดอาการดื้อยา คือไม่สนใจไม่ว่าจะเกิดนโยบายอะไรขึ้น” ศุภโชคกล่าว

นอกจากนี้ เขายังให้ความเห็นว่า ในประเด็นการกระจายอำนาจที่แม้จะถูกกล่าวถึงมานาน แต่ในทางปฏิบัติยังไม่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะการส่งอำนาจไปยังสถานศึกษา ซึ่งควรได้รับความสำคัญสูงสุด เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้ชิดผู้เรียนมากที่สุด พร้อมสะท้อนปัญหาทางกฎหมายอื่นที่เป็นอุปสรรค เช่น ข้อจำกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่สามารถช่วยเหลือโรงเรียนในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ โดยเสนอให้ พ.ร.บ. ฉบับใหม่ระบุอำนาจหน้าที่ไว้ให้ชัดเจน รวมถึงสนับสนุนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสาระข้ามวิชา การจัดสรรงบประมาณแบบถ่วงน้ำหนักตามบริบท

ต้องกระจายอำนาจ-ฟังเสียงคนหน้างาน

ขณะที่ ปาริชาต ชัยวงษ์ อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ได้สะท้อนมุมมองจากคนหน้างาน ที่เห็นผลกระทบของนโยบายการศึกษาต่อชีวิตจริงของครูและนักเรียนมาโดยตรง โดยเสนอว่า ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ควรหลุดพ้นจากการเป็นเพียง วาทกรรมที่ไพเราะ แล้วหันมาใส่ใจแนวคิดและคำสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้จริง โดยเฉพาะการเน้น “ความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางการศึกษา” เพื่อจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในพื้นที่เปราะบาง หรือโรงเรียนที่มีบริบทพิเศษ พร้อมเสนอให้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่จะยืนยันว่า การศึกษาเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ใช่แค่ของพลเมือง เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้โดยไม่ถูกกีดกันจากเงื่อนไขทางเชื้อชาติ ศาสนา หรือภาษา

นอกจากนี้ ต้องเน้นถึงความสำคัญของเสียงครูและเสียงนักเรียน ที่ควรถูกบรรจุไว้ใน พ.ร.บ. อย่างเป็นรูปธรรม โดยเสนอให้มีหน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครูซึ่งได้รับการรับรองตามกฎหมาย เพื่อสะท้อนปัญหาและความต้องการอย่างแท้จริง พร้อมเสนอให้กฎหมายฉบับใหม่นี้กลายเป็น ธรรมนูญของการเรียนรู้ ที่คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่กฎหมายที่เน้นจัดการเชิงระบบราชการ หรือผลิตแรงงานตอบโจทย์เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

“ครูคือคนหน้างานที่เห็นปัญหาการศึกษาอย่างแท้จริง แต่กลับไม่มีพื้นที่ให้ส่งเสียง เมื่อไม่มีหน่วยงานกลางที่เป็นตัวแทนของครู เสียงของเราจึงต้องตะโกนออกไปท่ามกลางนโยบายที่สั่งลงมาให้ปฏิบัติ ทั้งที่ในความจริง ครูไม่ได้มีหน้าที่แค่รับนโยบาย แต่ควรมีสิทธิร่วมออกแบบมันด้วย” เธอสะท้อนปัญหาที่พบ

พ.ร.บ.การศึกษา เป็นเหมือนมิติลี้ลับ

ธีรศักดิ์ จิระตราชู ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ความเห็นในฐานะผู้ติดตามกระบวนการจัดทำร่าง พ.ร.บ. การศึกษาอย่างใกล้ชิด โดยสะท้อนถึงความล่าช้าและข้อจำกัดของกระบวนการทางกฎหมายในรัฐสภา พร้อมชี้ให้เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ยังไม่เคยเข้าสู่การพิจารณาของสภา และอาจถูกพับเก็บภายในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากวาระของสภาใกล้สิ้นสุด เขาเปรียบเทียบการจัดทำกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็น “มิติลี้ลับ” ที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือ ทั้งยังวิจารณ์ว่า สังคมไทยยังคงอยู่ในปรากฏการณ์ “ตาบอดคลำช้าง” แม้ทุกฝ่ายจะมีเป้าหมายร่วม แต่ต่างคนต่างยกร่างจากวาระของตนเอง ทำให้ไม่เห็นภาพรวมร่วมกันที่ชัดเจน อีกทั้งระบบกฎหมายปัจจุบันก็ไม่เอื้อต่อการผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและยั่งยืน

ในส่วนของข้อเสนอ นายธีรศักดิ์ เน้นว่า พ.ร.บ. ฉบับใหม่ควรมีลักษณะเป็น “ร่มใหญ่” ที่ครอบคลุม 6 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การชี้ให้เห็นผลลัพธ์ที่คาดหวังจากผู้เรียนในอนาคต, การปรับระบบและโครงสร้างให้หน่วยงานที่อยู่ใกล้ชิดนักเรียนมีบทบาทมากขึ้น, การเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม, การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรมโดยเฉพาะให้อิสระโรงเรียนในฐานะนิติบุคคล, การสร้างระบบความรับผิดชอบที่เน้นการเยียวยาและฟื้นฟู และการเสริมกลไกสนับสนุน เช่น การใช้เทคโนโลยีช่วยลดภาระครู นอกจากนี้ ยังยกบทเรียนจาก พ.ร.บ. ปี 2542 ที่แม้จะมีโครงสร้างที่ดี แต่กลับไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และกลายเป็นภาระให้โรงเรียนต้องดิ้นรนหาเงินเอง ท่ามกลางระบบที่ไม่สนับสนุนอย่างแท้จริง

“การกระจายอำนาจที่ไปไม่สุด ทำให้สถานการณ์ที่ระบบการศึกษาส่วนกลางล้มเหลวในการส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและตอบโจทย์อนาคต จะทำให้การศึกษาได้กลายเป็น Education fails all (การศึกษาที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง) เนื่องจากภาคเอกชนและภาคส่วนต่าง ๆ ไม่เชื่อมั่นแล้วว่า พวกเขาสามารถหวังพึ่งระบบการศึกษาของรัฐภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้” ธีรศักดิ์ให้ความเห็นเสริม

ธีรศักดิ์ ได้เสนอให้ผลักดันการแก้กฎหมายแบบแพ็กเกจ ควบคู่ไปกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยโครงสร้างราชการ หรือ พ.ร.บ. ข้าราชการครู เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ พร้อมชี้ว่า ต้องสร้างวัฒนธรรมความเชื่อมั่น ในการทำงานของคนในระบบ ให้ครู ผู้บริหาร และหน่วยงานต่าง ๆ กล้าทดลอง ทำสิ่งใหม่ โดยไม่กลัวการถูกลงโทษหรือถูกตีความผิดทางกฎหมาย ทั้งหมดนี้จะต้องเกิดขึ้นภายใต้หลักการใหญ่ที่ยึดโยงกับผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

อรรถพล อนันตวรสกุล ประธานอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ให้ความเห็นและสรุปภาพรวมของโครงการวิจัยเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ โดยชี้ให้เห็นว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา หลายภาคส่วนต่างมีเป้าประสงค์ ของตัวเองในการใช้กฎหมายการศึกษาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนสังคม ส่งผลให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้การรวมร่าง พ.ร.บ. เป็นหนึ่งเดียวเป็นเรื่องที่ซับซ้อน โดยขณะนี้มีถึง 5 ร่างที่กำลังถูกใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการพิจารณา ท่ามกลางสถานการณ์ “สุญญากาศทางการเมือง” เขามองว่านี่คือจังหวะสำคัญที่ต้องเร่ง “รักษาความต่อเนื่อง” ของการพูดคุยและถกเถียง เพื่อไม่ให้เสียงของภาคประชาชนถูกกลบหายไปในความเงียบทางนโยบาย

หนึ่งในความโดดเด่นของงานวิจัยนี้ คือการศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายการศึกษาของ 6 ประเทศ ทั้งในเอเชียและตะวันตก เพื่อใช้เป็น “กระจกสะท้อน” แนวคิดของไทย โดยเฉพาะบทเรียนจากรัฐเดี่ยวอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ อาจารย์อรรถพลชี้ว่า แม้จะเป็นรัฐเดี่ยวเหมือนกัน แต่ก็มีความหลากหลายในการออกแบบกฎหมายและการกระจายอำนาจ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แม้มีประชากรมาก แต่ก็เพิ่มความยืดหยุ่นด้วยการออกกฎหมายลูกควบคู่ ขณะที่สิงคโปร์เน้นการรวมศูนย์โดยอิงบริบทเฉพาะของรัฐเล็ก นี่จึงเป็นบทสะท้อนให้ไทยมองอย่างรอบด้านว่า ไม่จำเป็นต้องรื้อกฎหมายแม่เสมอไป หากสามารถออกแบบระบบกฎหมายลูกที่ตอบสนองต่อบริบทท้องถิ่นได้ดี

สภาผู้บริโภค ยืนยันเจตนารมณ์ในการใช้ผลงานวิจัยชิ้นนี้เป็นตัวฐาน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายในปีนี้และปีหน้า โดยพร้อมทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลาง สำหรับการสนทนาเชิงนโยบาย เพื่อเจาะลึกประเด็นเฉพาะจากผลวิจัยให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเตรียมขยายหัวข้อวิจัยในปีถัดไป โดยมุ่งเน้นเรื่อง “การศึกษาให้เปล่า” (Free Education) พร้อมเน้นย้ำความตั้งใจที่จะใช้วิจัยเป็นเครื่องมือกำหนดทิศทางนโยบาย (Research Informs Policy) จริงจัง เพื่อให้กฎหมายใหม่ตอบโจทย์ความเป็นธรรมทางการศึกษาได้อย่างแท้จริง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง