
สภาผู้บริโภคเดินหน้าพบพรรคการเมือง เสนอนโยบายเพื่อผู้บริโภค “ไทยก้าวใหม่” เห็นพ้องนโยบายทั้ง 9 ด้าน พร้อมผลักดันด้านพลังงาน ขนส่งสาธารณะ การศึกษา และพ.ร.บ.อาหาร ย้ำจะนำไปกำหนดนโยบายเพื่อผู้บริโภคต่อไป
วันที่ 26 ธันวาคม 2568 สภาผู้บริโภค นำโดย สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมผู้บริหาร เข้าพบพรรคไทยก้าวใหม่ โดยมี ภาณุรัช ดำรงไทย ประธานยุทธศาสตร์ด้านพลังงานและนวัตกรรม พร้อมสมาชิกพรรคเข้าร่วมรับฟัง เห็นพ้องร่วมกันว่านโยบายทั้ง 9 ด้านของสภาผู้บริโภคล้วนมีความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของ พร้อมกำหนดเป็นนโยบายต่อไป
ภาณุรัช ดำรงไทย ประธานยุทธศาสตร์ด้านพลังงานและนวัตกรรม ระบุว่า ข้อเสนอจากสภาผู้บริโภคมีความสอดคล้องกับแนวนโยบายที่พรรคกำลังพัฒนาอยู่ในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาดและนวัตกรรม ระบบขนส่งสาธารณะ การศึกษา พร้อมนำประเด็นการปรับแก้ พ.ร.บ.อาหาร ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นใหม่ที่พรรครับมาเพื่อนำไปปรับปรุงและเสนอเพิ่มเติมในนโยบาย โดยมุ่งหวังจะยกระดับให้สูงขึ้นเทียบเท่ามาตรฐานในต่างประเทศ


ไทยก้าวใหม่เห็นพ้องหลายประเด็นสำคัญ
พรรคไทยก้าวใหม่ ยอมรับว่า ข้อเสนอทั้ง 9 ด้านของสภาผู้บริโภคช่วยกำหนดทิศทางนโยบายในหลายด้าน ไม่เพียงช่วยลดเวลาในการรวบรวมข้อมูล แต่ยังเป็นฐานข้อมูลที่ชัดเจน ตรงประเด็น และสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ทันที รวมทั้งยังจุดประกายให้เกิดการเพิ่มนโยบายใหม่หรือปรับปรุงมาตรฐานเดิม
สำหรับการเดินสายเสนอนโยบาย สภาผู้บริโภคเริ่มเข้าพบพรรคการเมืองตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2568 โดยเริ่มที่ พรรคเพื่อไทย จากนั้นเข้าพบ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และล่าสุด พรรคไทยก้าวใหม่ ซึ่งแต่ละพรรคต่างแสดงท่าทีสนับสนุนในทิศทางเดียวกัน
การเข้าพบพรรคการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจสำคัญในการเสนอนโยบายต่อหน่วยงานรัฐและคณะรัฐมนตรี เพื่อผลักดันให้เกิดการนำนโยบายไปปฏิบัติจริง โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ ทำให้ทุกพรรคการเมืองนำนโยบายทั้ง 9 ด้านไปใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองสิทธิและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนผู้บริโภคทั่วประเทศร่วมเป็นพลังสนับสนุน ติดตาม กดไลก์ และกดแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายทั้ง 9 ด้าน เพื่อแสดงพลังให้เห็นว่า “ประชาชนให้ความสำคัญกับสิทธิของตนเอง” และร่วมกันผลักดันให้นโยบายเหล่านี้เกิดขึ้นจริงในอนาคต
นโยบายทั้ง 9 ด้านที่สภาผู้บริโภคเสนอต่อพรรคการเมือง ถูกจัดเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องเมือง สิทธิผู้บริโภคยุคดิจิทัล ไปจนถึงคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 : เมืองที่เป็นธรรม
เน้นการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียมและการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ประกอบด้วยข้อเสนอด้านการคมนาคม การที่อยู่อาศัย และพลังงาน เช่น การจัดตั้ง “กองทุนท้องถิ่น” เพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารระบบขนส่งสาธารณะของตนเอง ลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว พร้อมลดปัญหาจราจรและอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังเสนอให้จัดทำทะเบียนที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อนำมาพัฒนาเป็นพื้นที่รับน้ำ ลดความเสียหายจากภัยพิบัติ ในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มีข้อเสนอผลักดันให้ประชาชนเข้าถึงโซลาร์เซลล์ ควบคู่ระบบหักลบกลบหน่วยการคิดค่าไฟฟ้า (Net Metering/Net Billing) เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าในครัวเรือน รวมทั้งขอให้งดการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จนกว่าไฟฟ้าสำรองจะอยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องรับภาระค่าไฟที่สูงเกินจริง
กลุ่มที่ 2 : ภัยออนไลน์และโลกดิจิทัล
มุ่งคุ้มครองผู้บริโภคจากความเสี่ยงในโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มจากข้อเสนอจัดตั้ง “กองทุนชดเชยเยียวยาผู้เสียหายจากมิจฉาชีพออนไลน์” เพื่อช่วยเหยื่ออาชญากรรมทางการเงินที่มักติดตามเงินคืนได้ยาก พร้อมทั้งผลักดันนโยบาย “ยืนยันตัวตนผู้ขาย” เพื่อเป็นกลไกให้ผู้ซื้อสามารถทวงถามความรับผิดชอบจากผู้ขาย และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า ด้านโทรคมนาคมมีข้อเสนอให้จัดทำ “แพ็กเกจพื้นฐานราคาประหยัด” ในราคาประมาณ 100 บาทต่อเดือน พร้อมอินเทอร์เน็ตและเวลาการโทรที่เพียงพอ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ท่ามกลางปัญหาอัตราค่าบริการสูงและคุณภาพสัญญาณที่ถดถอยหลังการควบรวมกิจการ
กลุ่มที่ 3 : คุณภาพชีวิตและสวัสดิการพื้นฐาน
เน้นสิทธิที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ยา บริการสุขภาพ และการศึกษา โดยเสนอให้ปรับปรุงพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ที่ล้าสมัยให้เท่าทันรูปแบบการผลิตอาหารที่เสี่ยงกับการผลิตอาหารแบบอุตสาหกรรมยุคใหม่ ที่เพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพต่อผู้บริโภค และการโฆษณาออนไลน์ พร้อมทั้งสนับสนุนตลาดเกษตรอินทรีย์ในทุกจังหวัด และให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน ในด้านการศึกษา ผลักดันนโยบาย “เรียนฟรีต้องมีจริง” ขยายถึงระดับปริญญาตรีหรือสายอาชีพ เพื่อลดภาระหนี้ของครอบครัว ขณะที่ด้านบริการสุขภาพ เสนอให้รัฐจัดสรรงบเข้ากองทุนสุขภาพทั้งสามสิทธิอย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน พร้อมกันนี้เสนอให้กำกับเพดานค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ทั้งค่ายาและค่าบริการทางการแพทย์ เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายที่สูงเกินสมเหตุสมผล
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคเตรียมจัดเวทีใหญ่ในวันที่ 7 มกราคม 2569 ตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น. เปิดตัว 9 นโยบายคุ้มครองผู้บริโภค และเปิดพื้นที่ให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายด้านผู้บริโภคต่อสาธารณะ พร้อมเชิญชวนผู้บริโภค พรรคการเมือง และสื่อมวลชนเข้าร่วมในวันและเวลาดังกล่าว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



