Getting your Trinity Audio player ready... |

สภาผู้บริโภค และนิตยสารฉลาดซื้อ เปิดผลทดสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพเครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อกและไส้กรองน้ำแบบ UF สำหรับใช้ในครัวเรือน พบเกินครึ่งประสิทธิภาพต่ำกว่าระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์
วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 สภาผู้บริโภค เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดผลทดสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพเครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อกและไส้กรองน้ำแบบสำหรับระบบกรองน้ำใช้ในครัวเรือนพบเกินครึ่งประสิทธิภาพต่ำกว่าระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์
โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า เครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อก (On Tap) และระบบ UF (Ultrafiltration System) ถือเป็นระบบที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย และมีต้นทุนที่เหมาะสมกับครัวเรือนทั่วไป และมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับระบบกรองน้ำขั้นสูง เช่น RO หรือ UV อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้กับแหล่งน้ำประปาทั่วไป ซึ่งมีความสะอาดในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ทำให้การกรองเพิ่มเติมด้วยระบบเหล่านี้เพียงพอสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกใช้ระบบกรองน้ำที่เหมาะสมกับแหล่งน้ำ รวมถึงข้อมูลเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบกรองต่าง ๆ ยังมีจำกัด และการตรวจสอบพิสูจน์คุณภาพการกรองน้ำของสินค้าเครื่องกรองน้ำที่ผู้ประกอบธุรกิจโฆษณา ผู้บริโภคไม่อาจทำได้เองต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อภารกิจของภาคประชาชนในการเฝ้าระวังและปกป้องสิทธิของผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงร่วมกับ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ทำการทดสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อกและไส้กรองแบบ UF สำหรับระบบกรองน้ำในครัวเรือน ผลของการศึกษาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำให้เหมาะสมกับลักษณะของน้ำต้นทาง และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการบริโภคสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือได้รับบริการที่ไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังสนับสนุนบทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภค ในการดำเนินงานด้านการเฝ้าระวังคุณภาพสินค้าและบริการ ตลอดจนการแจ้งเตือนภัยหรือประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่จำเป็นต่อผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ทีมทดสอบได้สำรวจและสุ่มซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีในท้องตลาดจากผู้จำหน่ายแบบออฟไลน์และออนไลน์ ในระหว่างเดือนธันวาคม 2567 – เดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า การจัดจำหน่ายสินค้าตามร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในครัวเรือน และห้างสรรพสินค้ามียี่ห้อเครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อกและไส้กรองระบบการกรองน้ำ UF (Ultra-Filter) จำนวนไม่มากนัก บางยี่ห้อขายสินค้าในระบบออนไลน์จากเว็บไซต์ของตนเองโดยตรง หรือเป็นร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการกรองน้ำ ทีมทดสอบได้ตัวอย่างเครื่องกรองน้ำมาทดสอบ ดังนี้ เครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อก ( On -Tap) จำนวน 9 ยี่ห้อ และไส้กรองระบบการกรองน้ำ UF (Ultra-Filter) จำนวน 11 ยี่ห้อ
การทดสอบอัตราการกรอง (Filtration rate) โดยเครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อก จาก 9 ยี่ห้อมีเพียง 2 ยี่ห้อที่สามารถกรองน้ำได้ ปริมาณ 100 % ตามที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์โดยอัตราการกรองน้ำไม่ลดลง ได้แก่ Xiaomi (ปริมาณน้ำประปาที่กรองได้ 80 ลิตร) และยี่ห้อ Midea (ปริมาณน้ำประปาที่กรองได้ 1,200 ลิตร) ที่เหลืออีก 7 ยี่ห้อของเครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อก ปรากฎว่าอัตราการกรองน้ำในระหว่างการทดสอบลดลงจนถึงอัตราการกรองต่ำสุดที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ยี่ห้อ Phillips ,Filtex ,Turbora ,Toray, Brita ,Panasonic ,และ Mitsubishi
การทดสอบประสิทธิภาพการกรองความขุ่น (เครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อก)
ยี่ห้อ Panasonic มีประสิทธิภาพการกรองความขุ่นสูงสุดคือ 73-95 % (ค่าเฉลี่ย 84 %)
ยี่ห้อ Philips มีประสิทธิภาพ 54-96 % (ค่าเฉลี่ย 75 %)
ยี่ห้อ Toray มีประสิทธิภาพ 62-72 % (ค่าเฉลี่ย 67 %)
ยี่ห้อ Midea มีประสิทธิภาพ 47-60 % (ค่าเฉลี่ย 54 %)
ยี่ห้อ Mitsubishi มีประสิทธิภาพ 45 – 56 % (ค่าเฉลี่ย 51 %)
ยี่ห้อ Brita มีประสิทธิภาพ 48-54 % (ค่าเฉลี่ย 51 %)
ยี่ห้อ Filtex มีประสิทธิภาพ 37- 63 % (ค่าเฉลี่ย 50 %)
ยี่ห้อ Turbora มีประสิทธิภาพ 22-46 % (ค่าเฉลี่ย 34 %)
ยี่ห้อ Xiaomi มีประสิทธิภาพ 6 – 33 % (ค่าเฉลี่ย 20 %)

การทดสอบประเภทไส้กรองระบบการกรองน้ำ UF (Ultra-Filter) จำนวน 11 ยี่ห้อ จากข้อมูลอัตราการไหลของผลิตภัณฑ์ที่สุ่มซื้อเพื่อมาทดสอบครั้งนี้ มีวิธีการให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์บนฉลากที่แตกต่างกัน ทางผู้ทดสอบจึงแบ่งประเภทด้านการให้ข้อมูลเรื่องอัตราการกรอง (Filtration rate) ได้ 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกระบุอัตราการกรองขั้นต่ำสุด จำนวน 8 ยี่ห้อ ได้แก่ ยี่ห้อ SCE อัตราการกรองต่ำสุดคือ 1 ลิตร/นาที, ยี่ห้อ Mazuma, Bwell และ Filtex อัตราการกรองต่ำสุดคือ 1.5 ลิตร/นาที ,ยี่ห้อ Valina อัตราการกรองต่ำสุดคือ 2.5 ลิตร/นาที ,ยี่ห้อ Turbora อัตราการกรองต่ำสุดคือ 2.6 ลิตร/นาที , ยี่ห้อ C.C.K. และ Stiebel Eltron อัตราการกรองต่ำสุดคือ 3 ลิตร/ นาที ส่วนกลุ่มที่ 2 ระบุอัตราการกรองขั้นสูงสุด 3.78 ลิตร/ นาที จำนวน 1 ยี่ห้อ ได้แก่ ยี่ห้อ Colandas และกลุ่ม 3 ไม่ระบุอัตราการกรอง จำนวน 2 ยี่ห้อ ได้แก่ ยี่ห้อ Pure และ Philips
การทดสอบอัตราการกรอง พบว่าไส้กรองทุกยี่ห้อ รักษาอัตราการกรองน้ำหลังจากผ่านการกรองน้ำ 500 ลิตรได้ค่อนข้างคงที่ มีการลดลงของอัตราการกรองเพียงเล็กน้อย
การทดสอบประสิทธิภาพการกรองความขุ่น ไส้กรองระบบการกรองน้ำ UF
ยี่ห้อ Colandas ประสิทธิภาพเฉลี่ย 99 %
ยี่ห้อ Valina ประสิทธิภาพเฉลี่ย 90 %
ยี่ห้อ Mazuma ประสิทธิภาพเฉลี่ย 81 %
ยี่ห้อ Bwell ประสิทธิภาพเฉลี่ย 81 %
ยี่ห้อ SCE ประสิทธิภาพเฉลี่ย 78 %
ยี่ห้อ Turbora ประสิทธิภาพเฉลี่ย 75 %
ยี่ห้อ C.C.K. ประสิทธิภาพเฉลี่ย 64 %
ยี่ห้อ Philips ประสิทธิภาพเฉลี่ย 64 %
ยี่ห้อ Filtex ประสิทธิภาพเฉลี่ย 61 %
ยี่ห้อ PURE ประสิทธิภาพเฉลี่ย 58 %
ยี่ห้อ Stiebel Eltron ประสิทธิภาพเฉลี่ย 56 %

ทัศนีย์ แน่นอุดร รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ กล่าวว่า ผลทดสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพเครื่องกรองน้ำแบบติดก๊อกและไส้กรองน้ำแบบ UF สำหรับระบบกรองน้ำใช้ในครัวเรือนในครั้งนี้ ได้ใช้หลักการทดสอบตามแนวทางการทดสอบที่ สำนักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ใช้กำกับควบคุมมาตรฐานการผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการเครื่องกรองน้ำและไส้กรองประกอบกับทดสอบดำเนินด้วยการคำนึงถึงการใช้น้ำจริงของประชาชนที่ตอนนี้โดยทั่วไปจะใช้น้ำประปา โดยผลทดสอบนี้เชื่อว่าประชาชนจะใช้ข้อมูลเป็นแนวทางการเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงของครัวเรือนและคุ้มค่ากับจำนวนเงินได้
โสภณ กล่าวโดยสรุปถึงผลการวิเคราะห์เครื่องกรองน้ำในครั้งนี้ พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพไม่ตรงกับที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ ดังนั้นสภาผู้บริโภค เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. ทบทวนและจัดทำมาตรฐานเฉพาะสำหรับไส้กรองแต่ละประเภท โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยวิชาการด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสุขาภิบาล และอุตสาหกรรมผู้ผลิต เพื่อจัดทำหรือปรับปรุงมาตรฐานทดสอบไส้กรองให้สอดคล้องกับลักษณะทางเทคนิคของแต่ละเทคโนโลยี เช่น UF, RO, Carbon Block, Ceramic ฯลฯ โดยกำหนดเกณฑ์เฉพาะด้านประสิทธิภาพการกรอง เช่น ค่า log removal ของแบคทีเรียหรือความขุ่นตามลักษณะของแต่ละระบบ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการประเมิน และส่งเสริมการแข่งขันเชิงคุณภาพในอุตสาหกรรมเครื่องกรองน้ำ
2. กำหนด “มาตรฐานบังคับ” สำหรับเครื่องกรองน้ำดื่มในครัวเรือนในปัจจุบัน มาตรฐานส่วนใหญ่เกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำเป็นเพียงมาตรฐานสมัครใจ การกำหนดมาตรฐานบังคับสำหรับเครื่องกรองน้ำดื่มในครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าราคาย่อมเยาและแพร่หลาย เช่น เครื่องกรองแบบติดก๊อก หรือระบบ UF ขนาดเล็ก จะช่วยคุ้มครองผู้บริโภคจากความเสี่ยงด้านสุขภาพ และลดการเข้าสู่ตลาดของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน
3. เสนอให้มีระบบรับรองคุณภาพจากหน่วยงานกลาง (certification body) และควรจัดตั้งระบบการรับรองผลิตภัณฑ์โดยหน่วยงานกลางที่มีความเป็นอิสระ ที่สื่อสารชัดเจนกับผู้บริโภค โดยระบุข้อมูลจำเพาะ เช่น อัตราการกรอง ความสามารถในการกำจัดแบคทีเรีย อายุการใช้งาน ฯลฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาด และเพิ่มทางเลือกที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภค
4. พัฒนาระบบติดตามและรายงานผลทดสอบเชิงสาธารณะ (Public Labelling & Disclosure)
ส่งเสริมให้มีฐานข้อมูลกลาง (open database) ที่เปิดเผยผลการทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์อย่างโปร่งใส พร้อมแนบผลเปรียบเทียบจากห้องปฏิบัติการมาตรฐานของรัฐหรือสถาบันอิสระ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ
5. สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการทดสอบในประเทศ รัฐควรให้การสนับสนุนด้านเครื่องมือ บุคลากร และงบประมาณในการพัฒนาห้องทดสอบมาตรฐานสำหรับไส้กรองน้ำในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายได้อย่างครอบคลุม และลดการพึ่งพามาตรฐานต่างประเทศ
และ 6. ผลักดันให้เกิดน้ำประปาสะอาดดื่มได้ เพราะการมีน้ำสะอาด และปลอดภัยมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำดื่ม อุปกรณ์กรองน้ำ และลดปริมาณขยะจากขวดพลาสติก