Ribbon

นโยบาย ขนส่งสาธารณะ ล้มเหลว คนกรุงใช้บริการแค่ 11.8% หลุดเป้ายุทธศาสตร์ชาติ

Getting your Trinity Audio player ready...
นโยบาย ขนส่งสาธารณะ ล้มเหลว คนกรุงใช้บริการแค่ 11.8% หลุดเป้ายุทธศาสตร์ชาติ

ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ได้กำหนดเป้าหมายให้ประชาชนต้องใช้ขนส่งสาธารณะ ไม่น้อยกว่า 40% ในช่วงปี 2566–2570 แต่จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุว่า ในปี 2568 ประชากรกรุงเทพฯ ใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพียง 11.8% สะท้อนถึงความล้มเหลวของนโยบายขนส่งสาธารณะของไทย ที่ไม่ตอบโจทย์การเดินทางประชาชน ขณะที่สถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนพุ่ง สภาผู้บริโภคเสนอรัฐเร่งปฎิรูปขนส่งสาธารณะ คืนสิทธิการเดินทางของประชาชนอย่างทั่วถึง

คนกรุงใช้ ขนส่งสาธารณะ 11.8% สะท้อนความล้มเหลวของรัฐ

สารี อ๋องสมหวัง

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุว่า ตัวเลขจำนวนผู้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ 11.8% คือ “หลักฐานเชิงประจักษ์” ที่สะท้อนความล้มเหลวของสนข. และรัฐบาล ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาระบบขนส่งของประเทศและสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะตลอดหลายปีที่ผ่านมา

นโยบาย ขนส่งสาธารณะ ล้มเหลว คนกรุงใช้บริการแค่ 11.8% หลุดเป้ายุทธศาสตร์ชาติ

หากพิจารณาจากเป้าหมายและตัวชี้วัดภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ในช่วงปี 2561 – 2565 กรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องมีสัดส่วนการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ไม่น้อยกว่า 30% และเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 40% ในช่วงปี 2566–2570 ก่อนจะขยับสู่ระดับ ไม่น้อยกว่า 50% และ 60% ในปี 2580

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจาก สนข. กลับสะท้อนว่าเมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 ซึ่งอยู่กึ่งกลางของช่วงเป้าหมาย ไม่น้อยกว่า 40% ตัวเลขจริงจาก สนข. กลับหยุดอยู่ที่ 11.8% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติในช่วงเวลานี้ถึงเกือบสามเท่า ทั้งยังต่ำกว่าเป้าหมายขั้นต่ำของแผนช่วงแรกอย่างมีนัยสำคัญ

“นี่เป็นความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของการวางแผนและขับเคลื่อนนโยบายขนส่งสาธารณะ เพราะหากระบบขนส่งถูกออกแบบมาให้ ‘ใช้งานได้จริง’ และ ‘ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน’ ตัวเลขการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะควรขยับขึ้นตามการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่หยุดนิ่งหรืออยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน” สารีระบุ

ตัวเลขจำนวนผู้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ ที่มีเพียงไม่ถึง 20% คือสัญญาณเตือนว่า หน่วยงานด้านนโยบายยังคงวัดความสำเร็จจากจำนวนโครงการและระยะทางของโครงข่าย มากกว่าจำนวนประชาชนที่สามารถเข้าถึงและเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้จริง และตราบใดที่ตัวชี้วัดตามยุทธศาสตร์ชาติยังเป็นเพียงตัวเลขบนกระดาษ ความล้มเหลวนี้ก็จะยังถูกส่งต่อไปถึงผู้บริโภคที่ไม่มีทางเลือกในการเดินทาง และต้องเผชิญปัญหาระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ปลอดภัย ราคาแพง และไม่มีคุณภาพ

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประชาชนไม่อยากใช้ แต่เป็นเพราะราคาและการเชื่อมต่อถูกออกแบบมาไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชน เช่น ขาดระบบเชื่อมต่อ  (Feeder) ต้องจ่ายค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน หรือพกบัตรหลายใบ กลายเป็นแรงผลักให้คนเลือกใช้รถส่วนตัวหรือมอเตอร์ไซค์แทน” ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ย้ำว่า สภาผู้บริโภคมีจุดยืนเรื่องระบบขนส่งสาธารณะ ที่จะทำให้ทุกคนเดินออกจากบ้าน 500 เมตรเจอระบบขนส่งสาธารณะ ใช้ระยเวลารอไม่เกิน 20 – 30 นาที และค่าเดินทางต้องไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน

ขนส่งไม่ตอบโจทย์ = อุบัติเหตุเพิ่ม

นอกเหนือจากจำนวนผู้ใช้งานขนส่งสาธารณะที่ต่ำกว่าเป้าหมายแล้ว ความปลอดภัยทางถนนคืออีกหนึ่งดัชนีที่ยุทธศาสตร์ชาติให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ โดยประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายระดับโลกในการลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงกึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลสถิติในปี 2568 กลับชี้ให้เห็นว่าตัวเลขผู้เสียขีวิตบนท้องถนนยังคงรุนแรงและห่างไกลจากเป้าหมาย 12 คนต่อประชากรแสนคน” หรือคิดเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตต้องไม่เกิน 8,474 คนต่อปี ภายในปี 2570

สถิติอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ในช่วง 10 วันอันตราย จากศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2567 – 5 มกราคม 2568) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,467 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บรวม 2,376 คน เสียชีวิตรวม โดย 3 สาเหตุหลักของอุยัติเหตุ เกิดจากการขับรถเร็วเกินกำหนด 40.31% ขับตัดหน้ากระชั้นชิด 26.02% และดื่มแล้วขับ 15.82% ขณะที่ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือรถจักรยานยนต์ 86% ของอุบัติเหตุทั้งหมด

นโยบาย ขนส่งสาธารณะ ล้มเหลว คนกรุงใช้บริการแค่ 11.8% หลุดเป้ายุทธศาสตร์ชาติ

นอกจากนี้ตัวเลขจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2568 พบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมจากอุบัติเหตุทางถนน ของปี 2568 อยู่ที่ 12,394 ราย ซึ่งเกินกว่าเป้าหมาย “12 คนต่อประชากรแสนคน” ที่ระบุในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ถึง 4,483 คน (คำนวณจากจำนวนประชากรไทย ข้อมูลทางการปกครองทั่วประเทศ ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568)

ความล้มเหลวในการลดตัวเลขผู้เสียชีวิตมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับความล้มเหลวของระบบขนส่งสาธารณะ เมื่อประชาชนไม่สามารถเข้าถึงรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ที่มีความปลอดภัยได้ จึงหันไปใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ส่วนตัว การที่ สนข. ไม่สามารถขยายตัวเลข 11.8% ให้เพิ่มขึ้นได้ จึงเท่ากับเป็นการผลักไสประชาชนให้ไปเสี่ยงชีวิตบนท้องถนนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แนะการเมืองเร่งยกระดับขนส่งสาธารณะ

หากรัฐบาลและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรยังต้องการเดินไปให้ถึงเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติในปี 2570 และ 2580 สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่การเพิ่มโครงการใหม่ แต่คือการปรับ “กระบวนทัศน์” ในการมองระบบขนส่งสาธารณะทั้งระบบ ตั้งแต่โครงสร้างราคา ความปลอดภัย ไปจนถึงการออกแบบเมืองให้เอื้อต่อการใช้งานจริงของประชาชน

ข่าวดีคือ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 พระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ถูกประกาศในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว ถือเป็นก้าวสำคัญในเชิงกฎหมาย แต่กฎหมายดังกล่าวจะไม่มีความหมายใด ๆ หากไม่ถูกแปลงเป็นการจัดสรรงบประมาณและการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชัดเจน ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการทำให้ระบบตั๋วร่วมและราคาเดียวเกิดขึ้นจริงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยรัฐต้องกล้าใช้งบประมาณอุดหนุนค่าส่วนต่างค่าโดยสารในฐานะภารกิจบริการสาธารณะ ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนรับภาระต้นทุนแทนรัฐ

ความท้าทายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม คือ “เจตจำนงทางการเมือง” ว่ารัฐพร้อมหรือไม่ที่จะมองขนส่งสาธารณะเป็นสวัสดิการพื้นฐานของเมือง หากกฎหมายมีแล้ว แต่งบประมาณไม่ตามมา ยุทธศาสตร์ชาติที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะก็จะยังคงเป็นเพียงเป้าหมายบนกระดาษ ในขณะที่ภาระค่าเดินทางยังคงตกอยู่กับผู้บริโภคเช่นเดิม และตราบใดที่ค่าเดินทางยังสูง ระบบขนส่งสาธารณะก็จะไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสวัสดิการพื้นฐานของเมืองได้

ขณะเดียวกัน ความปลอดภัยทางถนนต้องถูกยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติที่เชื่อมโยงกับนโยบายขนส่งอย่างแยกไม่ออก ทั้งนี้ อุบัติเหตุไม่ควรถูกมองว่าเป็นความผิดพลาดของปัจเจก แต่เป็นผลลัพธ์ของระบบที่บีบให้คนจำนวนมากต้องเลือกพาหนะที่เสี่ยงที่สุด การเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการลดความสูญเสียบนท้องถนนอย่างยั่งยืน

หากหน่วยงานด้านนโยบายยังไม่สามารถปรับแผนงานให้ยึดโยงกับชีวิตจริงของประชาชน ตัวเลข 11.8% ในปี 2568 อาจไม่ใช่จุดต่ำสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความถดถอยเชิงโครงสร้างที่แก้ไขได้ยาก และคนที่ต้องเสียประโยชน์ไม่ใช่รัฐ แต่เป็นผู้บริโภคที่ต้องทนใช้ระบบขนส่งที่ไม่ปลอดภัย ไม่มีคุณภาพ หรือถูกผลักให้แบกรับความเสี่ยงบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน


แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2565 – 2570

ศูนย์ 10 วันอันตรายปีใหม่ 2568 ตาย 436 ราย รมช.มหาดไทย สั่งถอดบทเรียนแก้ปัญหา

ข้อมูลทางการปกครองทั่วประเทศ ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568

เมินใช้ ขนส่งสาธารณะ ตั๋วแพง – ขาดการเชื่อมต่อ ซ้ำเติมปัญหาเมืองกรุง