
สภาผู้บริโภค ชู 9 นโยบายคุ้มครองผู้บริโภคต่อพรรคการเมือง “ภูมิใจไทย” – “ประชาชน” เห็นพ้องนโยบายหลายตอบโจทย์ปัญหาผู้บริโภค ทั้งภัยออนไลน์ การศึกษา สุขภาพ ขนส่งสาธารณะ
สภาผู้บริโภคเดินหน้าเข้าพบพรรคการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดัน 9 นโยบายคุ้มครองผู้บริโภคเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ
โดยในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 สภาผู้บริโภค นำโดย สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมผู้บริหารสภาผู้บริโภค ได้เข้าพบพรรคภูมิใจไทย ในช่วงเช้า และ พรรคประชาชน ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยทั้งสองพรรคเห็นตรงกันว่านโยบายส่วนใหญ่ของสภาผู้บริโภคสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของพรรค สามารถนำไปพิจารณาผลักดันต่อในระดับนโยบายและกฎหมายได้
สำหรับการหารือกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ พลพีร์ สุวรรณฉวี สส.นครราชสีมา เข้าร่วมรับฟัง โดยพรรคเห็นว่าแนวคิดการจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากภัยออนไลน์เป็นประเด็นเร่งด่วนที่ควรได้รับการผลักดัน เนื่องจากกระบวนการอายัดและคืนเงินให้ผู้เสียหายยังล่าช้า ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้บริโภคจำนวนมาก พร้อมเห็นว่าข้อเสนอของสภาผู้บริโภคหลายประเด็นสามารถนำไปต่อยอดในการจัดทำนโยบายเลือกตั้งของพรรคได้
ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยเห็นว่านโยบายเรียนฟรีของสภาผู้บริโภคสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ เนื่องจากยังมีค่าใช้จ่ายแฝงในระบบการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดที่มีต้นทุนสูง นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนข้อเสนอด้านการลดค่าไฟฟ้า การเปิดโอกาสให้ประชาชนและชุมชนผลิตไฟฟ้าได้โดยตรง การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน การต่อยอดนโยบายสุขกายสบายกระเป๋าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิรักษาพยาบาล ตลอดจนการควบคุมค่าบริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต และการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐ โดยพรรคภูมิใจไทยมีแนวคิดเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพื่อจัดสรรเป็นที่อยู่อาศัยและบริการรองรับผู้สูงอายุ สอดรับกับโครงสร้างสังคมผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ขณะที่การเข้าพบพรรคประชาชนมี ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย และ เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) พรรคประชาชน ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยพรรคประชาชนเห็นว่านโยบายของสภาผู้บริโภคสะท้อนปัญหาที่ประชาชนเผชิญอยู่จริง และหลายประเด็นสอดคล้องกับทิศทางของพรรค อาทิ การกำกับการโฆษณาอาหารที่เกินจริง ซึ่งยังมีช่องโหว่สำคัญ การจัดอุดหนุนขนส่งสาธารณะและรถรับส่งนักเรียนในระดับจังหวัด รวมถึงการแก้ปัญหาเรียนฟรีที่ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนข้อเสนอเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิรักษาพยาบาลของสามกองทุน การออกแบบระบบการจ่ายเงินให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกัน การกำกับแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีบทบาทต่อผู้บริโภคไทยโดยตรง ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากภัยออนไลน์ในรูปแบบที่เน้นการช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างทันท่วงที และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ


สำหรับการเดินสายเสนอนโยบาย สภาผู้บริโภคเริ่มเข้าพบพรรคการเมืองตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2568 โดยเข้าพบพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคแรก ที่ตามด้วยการเข้าพบพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และจะทยอยหารือกับพรรคการเมืองอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2569 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อเสนอเชิงนโยบายและติดตามแนวทางการนำไปขับเคลื่อนในรัฐสภา โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการผลักดันให้การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นวาระเชิงโครงสร้างที่ได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่องในระดับประเทศ
ทั้งนี้ การเสนอนโยบายดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้สภาผู้บริโภคสามารถเสนอนโยบายต่อพรรคการเมือง รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในเชิงระบบ และใช้กลไกรัฐสภาเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันสภาผู้บริโภคมีองค์กรสมาชิกกว่า 300 องค์กร กระจายการทำงานในกว่า 60 จังหวัด ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนและสะท้อนปัญหาจากพื้นที่จริง ซึ่งการนำนโยบายผู้บริโภคเข้าสู่เวทีพรรคการเมืองเป็นการถอดบทเรียนจากความเดือดร้อนของผู้บริโภค ส่งต่อให้ฝ่ายนิติบัญญัตินำไปใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกแบบนโยบายและกฎหมายที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแท้จริง


อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคเตรียมจัดเวทีใหญ่ในวันที่ 7 มกราคม 2569 ตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น. เปิดตัว 9 นโยบายคุ้มครองผู้บริโภค และเปิดพื้นที่ให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายด้านผู้บริโภคต่อสาธารณะ พร้อมเชิญชวนผู้บริโภค พรรคการเมือง และสื่อมวลชนเข้าร่วมในวันและเวลาดังกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



