Getting your Trinity Audio player ready... |

ซื้อรถยนต์ถอดประกันมีความเสี่ยงและไม่คุ้มค่าในระยะยาว สภาผู้บริโภคแนะบริษัทเร่งเยียวยาผู้บริโภค พร้อมเสนอรัฐสร้างเงื่อนไขและหลักประกัน สำหรับผู้ผลิต รถยนต์ไฟฟ้า
จากกรณีข่าวที่มีตัวแทนจำหน่าย รถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์ เนต้า (NETA) ในประเทศไทย ประกาศลดราคาขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) NETA V-II บนเพจของดีลเลอร์ในราคาคันละ 299,000 บาท (ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 319,000 บาท) แต่การรับประกันต่าง ๆ ถูกถอดออกทั้งหมด ทั้งประกันภัยชั้น 1 พ.ร.บ.คุ้มครองรถ 1 ปี, การรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กม., การรับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กม. รวมถึงค่าแรงและค่าอะไหล่รถเมื่อเช็กระยะครั้งแรก รวมทั้งที่ชาร์จแบบติดผนัง (Wall Charger)
ซื้อ รถยนต์ไฟฟ้า ที่ตั้งเงื่อนไขรับประกัน…มีความเสี่ยง
สุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ ประธานอนุกรรมการด้านสินค้าและบริการทั่วไป สภาผู้บริโภค ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า การซื้อ รถยนต์ไฟฟ้า ที่ลดราคาจนเกือบครึ่ง โดยแลกกับการตัดประกันทุกรูปแบบ ถือเป็น “ความเสี่ยงสูง” โดยเฉพาะเมื่อเกิดความเสียหายจากความชำรุดบกพร่องของสินค้า ซึ่งไม่ใช่เกิดจากการใช้งานตามปกติ ผู้บริโภคจะไม่สามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทได้
นอกจากนี้ หากรถยนต์ไฟฟ้าเสียจากการใช้งานทั่วไปหรือชิ้นส่วนเสื่อมตามอายุ ก็จะไม่สามารถนำรถเข้าศูนย์บริการหรือเรียกค่าชดเชยได้ เพราะไม่มีเงื่อนไขการรับประกันใด ๆ รองรับ
“สำหรับกรณีเนต้า ด้วยความที่ไม่ใช่ยี่ห้อรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศ ทำให้อาจประสบปัญหาเรื่องอะไหล่ที่หายาก อู่หรือช่างที่รับซ่อมมีน้อย โดยเฉพาะเมื่อเป็นรถไฟฟ้าที่ช่างรถยนต์ของไทยอาจจะยังไม่เชี่ยวชาญ การซื้อรถเมื่อซื้อแล้วถอยออกมาจากศูนย์ มูลค่ามันลดทันทีเลย หมายความว่าเวลาขายต่อราคาก็จะไม่ดี ยิ่งมีข่าวว่าศูนย์มีปัญหาโอกาสที่จะซื้อต่อยาก จึงเป็นความเสี่ยงที่ผู้บริโภคต้องคิดก่อนจะซื้อรถลักษณะนี้”
ผู้บริโภคที่ซื้อรถไปแล้ว ต้องทำอย่างไร?
เมื่อถามว่ากรณีผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเนต้าไปจะช่วยหรือหรือแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง ประธานอนุกรรมการด้านสินค้าฯ แนะนำว่า ผู้บริโถภคกลุ่มที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเนต้าไปแล้ว เป็นกลุ่มที่อาจจะต้องใช้กลไกกฎหมายเข้ามาช่วยเหลือ อย่างเช่นตามในข่าว มีผู้บริโภคที่รถเสียและต้องรออะไหล่นาน บางกรณีรอนานมากกว่า 6 เดือน ทำให้ไม่ได้ใช้รถแต่ยังต้องผ่อนค่างวดกับไฟแนนซ์ ซึ่งในความเป็นจริงผู้บริโภคกลุ่มนี้มีสิทธิได้รับการประกันและซ่อมแซมสินค้า บริษัทก็ต้องดำเนินการให้
เมื่อผู้บริโภคไม่ได้รับสิทธิตามที่ควรได้รับก็ต้องรวมกลุ่มกันร้องเรียนเท่าที่กลไกทางกฎหมายจะมี เช่น ร้องสภาผู้บริโภค ร้องสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่หากร้องเรียนกับหน่วยงานแต่ยังไม่ได้รับการเยียวยา ก็จะขยับไปสู่ขั้นตอนการฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งอาจจะดำเนินการในลักษณะของคดีกลุ่ม (Class Action) เพื่อให้ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบได้รับการเยียวยาอย่างครอบคลุมนอกจากนี้ ในมุมของบริษัทอาจจะต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น รถรุ่นนี้มันมีอะไหล่แบบไหนที่ใช้แทนได้บ้าง
ฟื้นฟูกิจการ…คือคำตอบ?
สำหรับข้อเสนอแนะต่อผู้ประกอบการนั้น นายสุทธิชัย ให้ข้อมูลว่า จากการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตบริษัทเนต้า (ไทยแลนด์) จำกัด เข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งหมายความว่าเมื่อขายรถไฟฟ้าหนึ่งคัน บริษัทฯ จะได้เงินจากรัฐประมาณ 1 แสนบาท ซึ่งกรมสรรพสามิตยังไม่ได้ส่งมอบเงินก้อนดังกล่าวให้กับบริษัทฯ ดังนั้นเงินก้อนนี้ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทําให้สภาพคล่องก็ดีขึ้น หมายความว่าถ้าได้เงินก้อนนี้มาก็อาจจะมาชําระให้กับเจ้าหนี้ ให้กับซัพพลายเออร์ ทำให้มีอะไหล่เพื่อมารองรับการซ่อมแซมรถของลูกค้า
แต่คำถามคือ…เงินก้อนนี้จะถูกใช้เยียวยาผู้บริโภคจริงหรือไม่ ภาครัฐจำเป็นต้องออกมาตรการกำกับดูแลให้ชัดเจน หากบริษัทจริงใจควรยื่นขอฟื้นฟูกิจการผ่านศาล เพื่อให้มีกระบวนการตรวจสอบและฟื้นความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค
ส่วนในกรณีที่เนต้าจะไม่ประกอบธุรกิจในไทยแล้ว บริษัทฯ อาจใช้วิธีเลือกอยู่ที่ได้มาตรฐานและมอบอำนาจให้อู่นั้น ๆ เป็นศูนย์ซ่อมของบริษัทหรือของรถยนต์ยี่ห้อนี้ และประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ใช้บริการให้ลูกค้าทราบ โดยอู่ที่บริษัทจะไปติดต่อก็ควรจะครอบคลุมพื้นที่หรือจังหวัดที่มีฐานลูกค้าใช้รถยนต์อยู่ด้วย นี่คือการแก้ไขปัญหาระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงความรับผิดชอบของของบริษัทด้วย
เสนอรัฐสร้างเงื่อนไขและหลักประกันที่ชัดเจน สำหรับผู้ผลิต รถยนต์ไฟฟ้า
แม้รัฐบาลจะมีโครงการที่ช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ให้สามารถนำรถยนต์ทั้งคันเข้ามาขายในประเทศไทยได้โดยได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาถูกลงซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่จะสนับสนุนเรื่องการใช้พลังงานสะอาด แต่ประธานอนุกรรมการด้านสินค้าฯ เสนอว่า รัฐบาลต้องมีเงื่อนไขเรื่องการวางหลักประกัน โดยกำหนดวงเงินเงินที่มากพอที่จะแสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้น ๆ มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องช่องโหว่ของกฎหมาย ที่แม้รัฐจะมีเงื่อนว่าบริษัทต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้า เช่น นำเข้ารถยนต์ที่ประกอบสำเร็จมากจากจีน 10,000 คัน ก็ต้องผลิตรถยนต์โดยมีฐานการผลิตในไทยให้ได้อีก 10,000 คัน อย่างไรก็ตาม ในข้อตกลงไม่ได้บอกในการผลิตต้องใช้ชิ้นส่วนหรือทรัพยากรบุคคลภายในประเทศ ดังนั้น ในอนาคตจะทําโครงการและสัญญาควรมีเงื่อนไขว่า รถไฟฟ้าที่ผลิตในไทยต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศไทยกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศไทยด้วย
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือบริษัทนำเข้าชิ้นส่วนทั้งหมดจากประเทศจีน มาประกอบในไทย หรือบางครั้งอาจจะใช้คนจีนในการประกอบรถเสียด้วยซ้ำ พอเอาทุกอย่างมาจากจีนแล้วมาแค่ประกอบในไทย คําถามคือแล้วประเทศไทยได้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘เนต้า’ EV จีนระส่ำแห่ปิดโชว์รูม โละสต๊อกเหลือคันละ 2.99 แสน
ผู้ใช้รถไฟฟ้า “เนต้า” ร้องสภาผู้บริโภค เหตุไม่ได้ป้ายขาว – อะไหล่ขาด – ศูนย์ปิด