
พาวเวอร์แบงก์แค่ก้อนเดียว อาจกลายเป็นต้นเหตุของไฟไหม้ สร้างความสูญเสียมากกว่าที่คิด และเมื่อความเสียหายเกิดขึ้น ผู้บริโภคควรได้รับการปกป้อง ไม่ใช่แค่จากแบรนด์สินค้า แต่ต้องมาจากกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้จริง สภาผู้บริโภค ผลักดันกฎหมาย “เลมอน ลอว์” เครื่องมือปกป้องสิทธิผู้บริโภค ยกระดับมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ
ไม่มีใครคิดว่าของเล็ก ๆ อย่างพาวเวอร์แบงก์ที่พกติดตัวไว้เพื่อความสะดวกสบาย จะกลายเป็นชนวนเหตุของไฟไหม้ที่สร้างความสูญเสียมากกว่าที่คิด พาวเวอร์แบงก์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควรทำหน้าที่แค่ชาร์จแบตเตอรี่ให้กับโทรศัพท์มือถือ กำลังถูกจับตามองในฐานะเป็นอุปกรณ์เสี่ยงอันตราย ล่าสุดแบรนด์ดังอย่าง Anker ออกแถลงการณ์เรียกคืนผลิตภัณฑ์ PowerCore 10000 กว่า 1.1 ล้านเครื่องทั่วโลก หลังพบว่ามีความเสี่ยง “เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ได้”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือการที่ผู้ประกอบการยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา มีมาตรการเรียกคืนสินค้า และเสนอบัตรของขวัญที่มีมูลค่าสูงกว่าตัวสินค้าให้กับลูกค้า เป็นการรับผิดชอบที่มากกว่าแค่การขอโทษ และกลายเป็นกรณีศึกษาให้กับผู้ประกอบการหลายแบรนด์เมื่อเกิดปัญหาว่าการนิ่งเฉยไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป แต่นั่นจะเพียงพอหรือไม่ในการปกป้องสิทธิของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการ
กรณีคล้ายกันนี้ก็เคยเกิดในไทยกับแบรนด์ Asaki ที่มีเหตุพาวเวอร์แบงก์ระเบิดจนเกิดความเสียหาย โชคดีที่มีการชดเชยความเสียหายให้กับผู้บริโภค แต่สิ่งที่สะท้อนชัดเจน คือ พฤติกรรมของผู้ประกอบการในวันที่เกิดความผิดพลาดจะกลายเป็นตัวตัดสินว่าผู้ประกอบการรายนั้นควรได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคต่อไปหรือไม่
รับผิดชอบอย่างมีระบบ ไม่ใช่แค่พูดให้จบข่าว
การออกมาขอโทษหรือเรียกคืนสินค้าเมื่อเกิดปัญหา แม้จะเป็นเรื่องจำเป็น แต่ถ้าทำเพียงเพื่อให้ข่าวเงียบแล้วเดินหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้าย ผู้บริโภคไม่เพียงจะจดจำแบรนด์ในแง่ลบ แต่ยังตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จากมุมมองของการคุ้มครองผู้บริโภค การรับผิดชอบที่แท้จริงควรเริ่มจากการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน มีระบบตรวจสอบ รวมถึงมีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน เช่น มีช่องทางให้ลูกค้าแจ้งปัญหาได้ง่าย ไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภคต้องเผขิญปัญหาในการใช้สินค้าและบริการด้วยตัวเอง ที่สำคัญต้องมีบริการหลังการขาย มีทีมงานคอยดูแล พร้อมให้ข้อมูลกับผู้บริโภคอย่างปร่งใสและตรงไปตรงมา
การเรียกคืนสินค้าที่อาจเป็นอันตราย และการชดเชยความเสียหายอย่างเหมาะสม ไม่ควรเกิดขึ้นแค่ตอนเป็นข่าวใหญ่ หรือเมื่อมีกระแสกดดัน แต่ควรเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการวางไว้ตั้งแต่แรก เพราะอุบัติเหตุหรือความผิดพลาดมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกสินค้า สิ่งสำคัญคือจะจัดการอย่างไร
เมื่อกฎหมายเริ่มขยับ สิทธิของผู้บริโภคมีหวังมากขึ้น
นอกจากภาคธุรกิจจะต้องมีระบบรับมืออย่างโปร่งใสแล้ว บทบาทของรัฐและกฎหมายก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคในเชิงโครงสร้าง แม้ในปัจจุบันประเทศไทยจะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย (PL Law) ซึ่งเปิดทางให้มีการเรียกคืนสินค้าที่เป็นอันตรายได้
แต่กฎหมายนี้ยังไม่ครอบคลุมกรณีที่สินค้าไม่มีคุณภาพ เช่น ชำรุดเร็ว เสื่อมสภาพง่าย หรือไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ ทั้งที่ในความเป็นจริงปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคจำนวนมาก และส่งผลกระทบในวงกว้างไม่แพ้สินค้าที่มีความเสี่ยงร้ายแรง
หลายประเทศจึงใช้กฎหมายที่เรียกว่าเลมอน ลอว์ (Lemon Law) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถร้องเรียน ขอซ่อมหรือเปลี่ยนสินค้าได้หากพบปัญหาที่เกิดซ้ำ ๆ แม้ไม่ถึงขั้นอันตราย และไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการศาลที่ซับซ้อน
กฎหมายลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมเร็วขึ้น แต่ยังสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพสินค้าอย่างจริงจัง แม้แต่ในช่วงลดราคาหรือการระบายของเก่า ปัจจุบันสภาผู้บริโภคได้ผลักดันร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือกฎหมายเลมอน ลอว์ เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อยกระดับมาตรฐานความรับผิดชอบในระบบ และลดภาระของรัฐ โดยเฉพาะการปกป้องผู้บริโภคไม่ให้ต้องลุกขึ้นต่อสู้แบบรายคนกับผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงลำพัง
ใช้ของที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบได้แค่ปลายนิ้วสแกน
แม้ผู้ผลิตจะมีหน้าที่รับผิดชอบเมื่อเกิดความเสียหาย แต่ในฐานะผู้บริโภค ก็มีสิทธิและหน้าที่ในการปกป้องตัวเองตั้งแต่ก่อนจะหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมาจ่ายเงิน โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความเสี่ยงอย่าง พาวเวอร์แบงก์การดูแค่หน้าตาหรือราคาถูกอย่างเดียวอาจไม่พออีกต่อไป
ดังนั้น สิ่งที่ควรมองหาเป็นอันดับแรก คือ เครื่องหมาย มอก. หรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่มีการรับรองโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งแปลว่าสินค้านั้นได้ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยในระดับที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่แค่ใช้งานได้ แต่ต้องปลอดภัยเวลาที่ใช้งานด้วย
ในยุคที่ใคร ๆ ก็ผลิตของหน้าตาดี ขายได้ง่าย การแปะโลโก้มาตรฐานปลอมก็เป็นปัญหาที่ต้องระวัง สมอ. จึงได้พัฒนาให้เครื่องหมาย มอก. มาพร้อมเครื่องหมายคิวอาร์โค้ด (QR Code) ที่สแกนแล้วสามารถตรวจสอบข้อมูลสินค้านั้นได้เลยทันที ทั้งชื่อผู้ผลิต เลขที่ใบอนุญาต และสถานะว่าใบรับรองยังใช้ได้อยู่หรือหมดอายุไปแล้ว
ข้อดีคือเราไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญก็สามารถเช็กได้ง่าย ๆ เพียงหยิบมือถือขึ้นมาสแกน ก็รู้ได้ทันทีว่าสินค้านั้นได้มาตรฐานจริงหรือแค่แปะไว้หลอก ๆ
สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าจะดูยังไง สภาผู้บริโภคชวนเช็กเครื่องหมาย มอก. ก่อนซื้อสินค้า โดยสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
สิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังไม่ใช่แค่สินค้าที่ใช้งานได้ แต่คือความมั่นใจว่า หากเกิดเหตุผิดพลาดขึ้นอีก จะมีระบบที่พร้อมดูแล รับผิดชอบ และไม่ปล่อยให้ใครต้องรับความเสียหายเพียงลำพัง แน่นอนว่าความเชื่อมั่นนั้นไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียว แต่สามารถพังลงได้ในพริบตา ถ้าผู้ประกอบการละเลยเรื่องความปลอดภัย และกฎหมายยังไร้พลังในการคุ้มครอง
หากผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากการใช้สินค้า หรือพบว่าสินค้าที่วางขายไม่มีมาตรฐาน สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนหรือให้ข้อมูลได้ที่ สมอ. ได้ที่ เว็บไซต์ สมอ. หรือโทรศัพท์สอบถามที่เบอร์ 0-2430-6815 หรือร้องเรียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม “แจ้งอุต” ผ่านไลน์ Traffy Fondue รวมถึงสภาผู้บริโภคผ่านสายด่วน 1502 หรือเว็บไซต์สภาผู้บริโภค