ผลวิจัยรถยนต์ไฟฟ้า ชี้ช่องโหว่ผู้ซื้อเสี่ยงความปลอดภัย ขาดมาตรการเชิงป้องกัน

ผลวิจัยรถยนต์ไฟฟ้า ชี้ช่องโหว่ผู้ซื้อเสี่ยงความปลอดภัย ขาดมาตรการเชิงป้องกัน

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่แฝงไปด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นช่องโหว่ต่อสิทธิผู้บริโภค ทั้งความปลอดภัยของระบบแบตเตอรี่ การขาดมาตรฐานกลาง เงื่อนไขการรับประกันที่ไม่ชัดเจน บริการหลังการขายที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงความไม่มั่นใจทางเศรษฐกิจ งานวิจัยล่าสุดที่สำรวจผู้ใช้จริงกว่า 400 ราย ศึกษาเปรียบเทียบมาตรการจากต่างประเทศ และจัดเสวนากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สะท้อนว่าผู้บริโภคไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไร้มาตรการรองรับ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นและกระทบต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

วันนี้ (5 ตุลาคม 2568) ผศ.ดร.มานนท์ สุขละมัย ภาควิชาครุศาสตร์เครื่องกล คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า ผลวิจัยรถยนต์ไฟฟ้า นี้มีเป้าหมายเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในมิติต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าใหม่และรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion) โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาหลักของไทยไม่ต่างจากต่างประเทศมากนัก แต่ยังขาดมาตรการที่ชัดเจนในการปกป้องผู้ใช้ ซึ่งจำเป็นต้องเร่งจัดทำมาตรการเชิงป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ผลการวิจัยรายงานว่าผู้บริโภคเผชิญ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความปลอดภัยและการขาดมาตรฐานกลาง โดยเฉพาะระบบแบตเตอรี่และมาตรการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งไว้ที่บ้าน (Home Charger) และการรับมือเหตุฉุกเฉิน ความไม่ชัดเจนด้านกฎหมายและบริการหลังการขาย เช่น เงื่อนไขการรับประกันที่คลุมเครือ กระบวนการเคลมที่ล่าช้า การรออะไหล่นาน และความซับซ้อนในการจดทะเบียนรถดัดแปลง และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ทั้งจากการลดราคาของรถรุ่นใหม่ที่กระทบภาระหนี้และมูลค่ามือสอง ตลอดจนความกังวลต่อความต่อเนื่องของผู้ผลิตและผู้นำเข้า

“อยากให้สังคมลบภาพจำว่ารถเรียกคืน คือของน่ากลัว ในทางตรงกันข้ามการเรียกคืนคือความรับผิดชอบของผู้ผลิตต่อความปลอดภัย” ผศ.ดร.มานนท์กล่าว พร้อมเสนอให้รัฐเร่งสร้างกลไกคุ้มครองที่ชัดเจน โดยย้ำว่าการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือกฎหมายเลมอน ลอว์ (Lemon Law) ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อเปลี่ยนรถใหม่ แต่คือการยกระดับคุณภาพตั้งแต่กระบวนการผลิต และควรเดินคู่กับสิทธิซ่อมได้ (Right to Repair) เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงอะไหล่และบริการซ่อมที่เป็นธรรม ไม่ถูกผูกขาดหรือกำหนดราคาเกินควร

ผศ.ดร.มานนท์ สุขละมัย (ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์)

อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเฉพาะสถานการณ์ในไทยเท่านั้น แต่ยังเปรียบเทียบกับมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคใน 6 ประเทศ พบว่าหลายประเทศ เช่น ยุโรป จีน และสหรัฐอเมริกา ต่างมีกลไกคุ้มครองผู้ใช้คล้ายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเลมอน ลอว์ แม้จะเรียกต่างชื่อ แต่มีหลักการเดียวกันคือ หากรถมีข้อบกพร่องร้ายแรงหรือเข้าซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายต้องรับผิดชอบ ขณะที่ญี่ปุ่นใช้บทลงโทษที่เข้มงวดต่อผู้ประกอบการ เพื่อป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ ส่วนประเทศไทยยังพบเหตุการณ์ซ้ำซากและขาดกลไกป้องกันที่เป็นรูปธรรม ทำให้ผู้บริโภคยังต้องเผชิญความเสี่ยงสูง

อีกหนึ่งปัญหาที่งานวิจัยสะท้อนชัดคือเสถียรภาพด้านราคา โดยพบว่าการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ด้วยราคาสูง แต่กลับมีการปรับลดราคาลงอย่างรวดเร็ว อาจสร้างผลเสียต่อผู้ที่เพิ่งซื้อในช่วงแรก เพราะทำให้เกิดความรู้สึกไม่คุ้มค่า สูญเสียความเชื่อมั่น และอาจกระทบต่อภาระหนี้สิน รวมถึงมูลค่ารถมือสองที่ตกลงอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อธุรกิจยานยนต์และตลาดรถยนต์โดยรวมทั้งระบบ

ทั้งนี้ จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ทีมวิจัยและสภาผู้บริโภคได้เสนอแพ็กเกจนโยบายที่ครอบคลุมการทำงานของหลายหน่วยงาน ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐานโฆษณาและการรับประกัน มีมาตรการกำกับดูแลและตั้งหลักเกณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสงครามราคา ที่จะส่งผลเสียต่อทั้งผู้บริโภคและเสถียรภาพของตลาดในระยะยาว โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามามีบทบาทเชิงรุก เพื่อสร้างกลไกดูแลและรักษาความเป็นธรรมด้านราคาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถใหม่และรถมือสอง

นอกจากนี้ ยังต้องมีการขึ้นทะเบียนผู้ติดตั้ง อุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งไว้ที่บ้านส่วนตัว (Home Charger) และควบคุมโครงสร้างราคาค่าชาร์จโดยกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาคารและมาตรการความปลอดภัยโดยกรมโยธาธิการและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) การกำหนดป้ายทะเบียนพิเศษและมาตรฐานการดัดแปลงรถโดยกรมการขนส่งทางบก การใช้มาตรการภาษีและการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมเพิ่มวัตถุดิบในประเทศ หรือต้นทุนสินค้าในประเทศ (Local Content) โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI) ตลอดจนมาตรการด้านประกันภัยโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และการกำหนดมาตรฐานอู่ดัดแปลงและพัฒนาบุคลากรโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบเพื่อสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ปลอดภัย เป็นธรรม และสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกันงานวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงเสียงผู้บริโภคที่ต้องการความมั่นใจในบริการหลังการขาย การเข้าถึงอะไหล่ที่มีราคาสมเหตุสมผล และการมีทางเลือกในการซ่อมมากกว่าศูนย์บริการรายใหญ่ไม่กี่แห่ง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิในการซ่อม ที่สภาผู้บริโภคผลักดันเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอิสระไทยเข้ามามีบทบาทในตลาด

“การฟ้องร้องคือกระบวนการปลายทาง แต่หากไทยมีกฎหมายและมาตรการเชิงป้องกันที่เข้มแข็ง ตั้งแต่มาตรฐานการผลิต การดัดแปลง การติดตั้ง และการบริการหลังการขาย ไปจนถึงมาตรการด้านการจัดการอาคาร สถานีชาร์จ และปัญหาประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง โอกาสเกิดปัญหาซ้ำซากจะลดลงอย่างมาก” ผศ.ดร.มานนท์กล่าวทิ้งท้าย พร้อมชี้ว่าไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านฐานการผลิตจากการเป็นศูนย์กลางประกอบรถยนต์ของต่างชาติ จึงควรมุ่งเน้นนโยบายเพิ่มสัดส่วน ผู้ผลิตในประเทศ (Local Content) และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อรักษาผู้ประกอบการไทยและเสริมศักยภาพการแข่งขันในอนาคต

ทั้งนี้ การผลักดันมาตรการเหล่านี้อย่างจริงจังจะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สร้างความเป็นธรรมในตลาด ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและหนี้ครัวเรือน และเพิ่มขีดความสามารถให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องบูรณาการและเร่งขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง