
เปิดมาตรการช่วยน้ำท่วมปี 2568 สภาผู้บริโภคชี้ 5 สิทธิสำคัญที่ต้องรู้ไว้ จะได้ไม่พลาดรับการเยียวยา
ภัยจากอุทกภัยได้สร้างความรุนแรงและเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อคนในประเทศไทย ทำให้มีจังหวัดที่ประสบภัยจากน้ำท่วมแล้ว 16 จังหวัดรวมถึงพื้นที่การเกษตรเสียหายแล้วกว่า 3 ล้านไร่ โดยสภาผู้บริโภคจึงขอรวบรวมมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ภาครัฐออกมาเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคไม่เสียสิทธิ์ในการได้รับความช่วยเหลือ โดยมาตรการให้การช่วยเหลือและเยียวยากับทั้งภาคครัวเรือน ภาคคนทำงาน ภาคเกษตรกร และประกันสังคม รวมถึงสิทธิของผู้ที่ประสบปัญหาเมื่อรถถูกน้ำท่วม
สิทธิครัวเรือนได้ชดเชย 9,000 บาท
ภาคครัวเรือน โดยภาครัฐจัดทำมาตรการเยียวยาสำหรับครัวเรือนที่ประสบภัยน้ำท่วม จะได้รับเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาท ครอบคลุมความเสียหายจาก น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม น้ำล้นตลิ่ง โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ และจะโอนเงินผ่านระบบ พร้อมเพย์ (PromptPay) ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน ซึ่งแต่ละจังหวัดต้องเร่งตรวจสอบและดำเนินการจ่ายเงินให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน หลังได้รับงบประมาณจาก ปภ.
สำหรับผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยจากน้ำท่วม สามารถตรวจสอบสถานะการรับเงินได้ทางเว็บไซต์ https://flood68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister โดยใส่หมายเลขบัตรประชาชน แล้วกด “ตรวจสอบสถานะ”
สิทธิเกษตรกรได้ชดเชยเริ่มต้นที่ข้าวไร่ละ 1,340 บาท
ภาคการเกษตร เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอุทกภัย โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ นาข้าว ไร่ สวน และบ่อปลา โดยภาคเกษตรกรต้องขึ้นทะเบียน “เกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ” กับสำนักงานเกษตรอำเภอ ภายใน 15 วันหลังน้ำลด สำหรับแนวทางการช่วยเหลือมีทั้ง ข้าว ให้การเยียวยา ไร่ละ 1,340 บาท (ไม่เกิน 30 ไร่) พืชไร่ ให้การเยียวยาไร่ละ 1,980 บาท (ไม่เกิน 30 ไร่) พืชสวน ให้การเยียวยาไร่ละ 4,048 บาท (ไม่เกิน 30 ไร่) ประมง (บ่อปลา) ให้การเยียวยา ไร่ละ 12,240 บาท (ไม่เกิน 5 ไร่) ปศุสัตว์ ให้การเยียวยาตามประเภทสัตว์ เช่น โค ตัวละ 12,000 บาท หรือ สุกร ตัวละ 5,000 บาท
ทั้งนี้ภาคเกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนความเสียหายกับ สำนักงานเกษตรอำเภอ ภายใน 15 วันหลังน้ำลด และสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ กรมส่งเสริมการเกษตร
สิทธิของผู้บริโภคจากรถประสบภัยน้ำท่วม
ทางด้านผู้บริโภคที่ประสบภัยกรณีรถยนต์จมน้ำและได้ทำประกันรถยนต์ไว้จะได้รับสิทธิการคุ้มครอง โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกแนวทางมาตรฐาน “5 ระดับความเสียหายรถยนต์จากน้ำท่วม” เพื่อให้บริษัทประกันใช้เป็นเกณฑ์เดียวกันในการจ่ายค่าสินไหม ทั้งนี้ เจ้าของรถควรทราบระดับความเสียหายดังนี้
สำหรับระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถ จ่ายค่าซ่อมโดยประมาณ 8,000 – 10,000 บาท แนวทางจ่ายสินไหม ด้วยการซ่อมระบบพื้นและพรม ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะ ค่าซ่อมโดยประมาณ 15,000 – 20,000 บาท แนวทางการจ่ายสินไหมด้วยการซ่อมเบาะและระบบไฟ ระดับ C น้ำถึงคอนโซลล่าง จ่ายค่าซ่อมโดยประมาณ 25,000 – 30,000 บาท แนวทางจ่ายสินไหม ซ่อม ECU และเซนเซอร์ ระดับ D น้ำถึงคอนโซลบน จ่ายค่าซ่อมโดยประมาณมากกว่า 30,000 บาท แนวทางจ่ายสินไหม ซ่อมระบบไฟหลัก ระดับ E รถจมน้ำทั้งคัน แนวทางจ่ายสินไหม คืนทุนประกันเต็มจำนวน (Total Loss)
ทั้งนี้ผู้บริโภคที่ใช้งานรถยนต์ที่ประสบภัยจากน้ำท่วม แต่ไม่ได้สิทธิตามที่ คปภ. ได้กำหนดไว้ สามารถแจ้งติดต่อได้ที่ คปภ. ผ่านหมายเลขสายด่วน 1186 และเว็บไซต์ www.oic.or.th
สิทธิในการหยุดงานโดยไม่ลา
คนที่ทำงานที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย ล่าสุดในเดือน พ.ย.นี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ออกประกาศ ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ มีทั้งการผ่อนผันการทำงาน โดยขอให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ หรือไปทำงานสาย เนื่องจากที่พักอาศัยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม สามารถหยุดงานได้โดยไม่ถือเป็นวันลา นอกจากนี้เรื่องความปลอดภัยในสถานประกอบการ ได้กำหนดให้นายจ้างควรเตรียม แผนฉุกเฉิน ตรวจสอบความปลอดภัยของอาคาร เครื่องจักร และระบบไฟฟ้า เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงภัยพิบัติ อีกทั้งได้เน้นย้ำให้นายจ้าง ลูกจ้าง และองค์กรแรงงาน ปรึกษาหารือร่วมกันในการแก้ไขปัญหาด้วยหลักสุจริตใจ
สิทธิในการลดจ่ายประกันสังคม
สำหรับมาตรการประกันสังคมในการช่วยแรงงาน เป็นมาตรการที่ช่วยผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยและอุทกภัยใน 55 จังหวัด ดำเนินการมาต่อเนื่องตั้งแต่ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568 รวม 6 เดือน โดยกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้ออกมาตรการ “ลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม”
มาตรการแบ่งเป็น ผู้ประกันตน ม.33 (ลูกจ้าง – นายจ้าง) ได้ลดอัตราเงินสมทบจาก 5% เหลือ 3% ของค่าจ้าง ได้รับเงินคืนสูงสุด 900 บาทต่อคน ส่วนผู้ประกันตน ม.39 (สมัครใจ) ได้ลดอัตราเงินสมทบจาก 432 บาทต่อเดือน เหลือ 283 บาทต่อเดือน ได้รับเงินคืน 149 บาทต่อเดือน ทั้งนี้แนวทางการรับเงินคืน ผู้ประกันตนไม่ต้องลงทะเบียนเอง โดย ม.33 นายจ้างจะยื่นผ่านระบบ e-Service และ ม.39 สำนักงานประกันสังคม จะโอนตรงเข้าบัญชีพรอมเพย์ ซึ่งทยอยโอนเงินคืนจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งหากผู้บริโภคยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ควรแจ้งไปในประกันสังคมในพื้นที่ทำงานอยู่
อย่างไรก็ตาม จากมาตรการทั้งหมดผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย ควรมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบด้าน และดำเนินการติดต่อช่องทางต่างๆ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างครบถ้วน



