
สภาผู้บริโภคแจ้งเตือนผู้บริโภคระมัดระวังการลงทุนทุกรูปแบบ ตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ อย่าหลงเชื่อเพียงคำกล่าวอ้างหรือภาพลักษณ์ ย้ำใช้เอกสารปลอมโทษร้ายแรง
จากข่าวอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังหลอกลวงลงทุนและมีผู้เสียหายจำนวนมากจนถึงระดับหลายร้อยล้านบาท โดยเป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนว่ามิจฉาชีพสามารถใช้ความน่าเชื่อถือมาหลอกลวงได้ แม้บุคคลนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ดีมาก โดยผู้บริโภคจึงอย่าเชื่อใจจากภาพลักษณ์ที่ดีหรือเป็นคนที่รู้จักเท่านั้น ต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน
สำหรับรูปแบบการหลอกลวงมีหลายแบบ ทั้งใช้ภาพลักษณ์และใช้ความเชื่อใจส่วนตัว หรือภาพลักษณ์ทางสังคมของคนดังหรือคนรู้จักเพื่อให้คนอื่นๆ เชื่อถือ ดังนั้นแม้เป็นคนรู้จักหรืออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ต้องมีการตรวจสอบข้อมูล เพราะหลายกรณีความเสียหายเริ่มต้นจากความเชื่อใจ ข้อควรระวังต่อมาคือ การการันตีผลตอบแทนสูงอ้างและผลกำไรที่สูงเกินจริง รวมถึงยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยง ดังนั้นเมื่อมีการให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติให้สงสัยทันที
ตรวจสัญญาณอันตราย เข้าข่ายหลอกลงทุน
อีกข้อต้องระวังคือ การใช้เอกสารปลอมและเอไอ สร้างความน่าเชื่อถือ โดยมิจฉาชีพใช้วิธีที่ซับซ้อนขึ้น โดยเฉพาะการส่งภาพสลิปโอนเงินปลอม เพื่อให้คนที่เห็นเชื่อว่าได้รับผลตอบแทนจริง โดยหน่วยงานรัฐเคยเตือนว่า มิจฉาชีพใช้เครื่องมือเอไอ ในการปลอมแปลงเอกสาร ทำให้เอกสารปลอมเหล่านี้ดูเหมือนจริงมาก จนยากต่อการตรวจสอบด้วยตาเปล่า เอกสารที่ถูกปลอมแปลงได้แก่ สลิปโอนเงิน ใบเสร็จ รายงานผลกำไร และเอกสารสิทธิทางการเงิน เช่น โฉนด ตั๋วเงิน และใบหุ้น เป็นต้น
พร้อมกันนี้ยังใช้แนวทางเร่งรัดให้ผู้บริโภคตัดสินใจเร็ว และไม่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบข้อมูล ตลอดจนโอนเงินเข้าบัญชีบุคคล มักให้โอนเงินเข้าบัญชีของ บุคคลธรรมดา ไม่ใช่บัญชีบริษัทที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
นอกจากนี้ใช้แพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเว็บไซต์เพิ่งเปิดไม่นาน ติดต่อยาก ไม่มีข้อมูลบริษัทชัดเจน หรือไม่พบชื่อบริษัทในฐานข้อมูลราชการ ล้วนเป็นสัญญาณเสี่ยง รวมถึงมีค่าธรรมเนียมแปลก ๆ ที่ต้องจ่ายก่อน เช่น ค่าภาษีถอนเงินล่วงหน้า ค่าปลดล็อกบัญชี ค่าธรรมเนียมที่ไม่อยู่ในระบบการลงทุนจริง มักเป็นกลไกหลอกให้จ่ายเพิ่มโดยไม่ได้ลงทุนจริง นอกจากนี้ยังมีชวนเพื่อนหรือคนรู้จักมาลงทุนต่อ หากผลตอบแทนขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ชวนมาเพิ่ม หรือมีโครงสร้างคล้ายแชร์ลูกโซ่ ให้สันนิษฐานทันทีว่าเป็นระบบหลอกลวง
ตรวจสอบให้ชัดก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับคำแนะนำที่สำคัญแก่ประชาชนเพื่อป้องกันการถูกหลอก ควรดำเนินการทั้งตรวจสอบก่อนลงทุน โดยตรวจสอบข้อมูลบริษัท ทั้งการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายชื่อผู้ถือหุ้นและทุนจดทะเบียน รวมถึงตรวจสอบสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกครั้ง รวมถึงตรวจสอบบัญชีผู้รับโอนว่าเงินที่ลงทุนควรโอนเข้า บัญชีของบริษัทที่ได้รับอนุญาต ไม่ใช่บัญชีส่วนบุคคล
อีกทั้งอย่าเชื่อสลิปหรือเอกสารเพียงภาพเดียว ควรตรวจสอบยอดเงินที่เข้าบัญชีจริง และตรวจสอบเลขอ้างอิงการทำธุรกรรม หากเป็นเอกสารราชการที่น่าสงสัย ให้ตรวจสอบกับหน่วยงานที่ออกเอกสารโดยตรง อีกทั้งหยุดทันทีหากถูกเร่งรัด โดยหากผู้ชักชวนเร่งรัดให้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ให้หยุดการดำเนินการทันที
โทษหนัก ปลอมแปลงเอกสาร มีความผิดอาญา
ทางด้านบทลงโทษทางกฎหมาย หาก “ทำ” หรือ “ใช้” เอกสารปลอม เช่น สลิปโอนเงิน ใบสัญญา หรือใบเสร็จ ถือเป็นความผิดและมีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา
- ปลอมเอกสารทั่วไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท
- ปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับ 10,000–100,000 บาท
- ปลอมเอกสารตามมาตรา 266 (เช่น โฉนด ตั๋วเงิน ใบหุ้น) มีโทษจำคุก 1–10 ปี และปรับ 20,000–200,000 บาท
การใช้เอกสารปลอมเข้าข่าย ฉ้อโกงประชาชน
นอกจากนี้ หากนำเอกสารปลอมไปใช้หลอกลวงผู้อื่น ยังเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเพิ่มเติมด้วย ซึ่งหลายคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าต้องมีผู้เสียหายจำนวนมากจึงจะเป็นความผิด ทั้งที่กฎหมายระบุว่า “จำนวนผู้เสียหายไม่ใช่สาระสำคัญ” แต่พิจารณาที่ เจตนาในการหลอกให้สาธารณชนทั่วไปเชื่อถือ เป็นหลัก หากผู้กระทำแสดงข้อความเท็จ ปิดบังความจริง หรือใช้เอกสารปลอมเพื่อชักจูงให้ประชาชนโดยรวมหลงเชื่อ โดยไม่ได้มุ่งหลอกใครเป็นรายบุคคล ถือว่าเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหายถึงสิบรายหรือจำนวนมาก
สำหรับโทษของความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น แอบอ้างบุคคลอื่น หรือกระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ที่มีความอ่อนแอทางจิตใจ โทษจะสูงขึ้นเป็นจำคุก 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับ 10,000–100,000 บาท
สภาผู้บริโภคขอย้ำว่า หากมีคนที่รู้จักมาชักชวนลงทุนให้ผลประโยชน์สูงผิดปกติ ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ควรตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรึกษาผู้รู้ และอย่าหลงเชื่อเพียงคำกล่าวอ้างหรือเอกสารที่แสดงให้ดู เนื่องจากเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว การเรียกคืนเงินมักทำได้ยาก ผู้บริโภคจึงต้องรู้เท่าทันและปกป้องสิทธิของตนเองให้มากที่สุดในทุกการตัดสินใจด้านการเงิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เตือน ปชช. ระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ สร้างสลิปปลอมสมจริง แนะค้าขายเช็กยอดบัญชีเสมอ อย่าหลงกลมิจฉาชีพ
Law เป็นประเด็น 1 : ฉ้อโกงประชาชนไม่ได้ดูจำนวนคน…แต่ดูที่เจตนา เมื่อ..
7 สัญญาณอันตรายสำหรับสายลงทุน ที่ต้องถอยทันที



