เมื่อความงามมีราคาที่ไม่บอก กลยุทธ์เร่งตัดสินใจจากคลินิกในห้าง

Getting your Trinity Audio player ready...

ในยุคที่ภาพลักษณ์และความงามกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต การตลาดในธุรกิจเสริมความงามก็ยิ่งต้องพึ่งกลยุทธ์ชวนเชื่อหลากหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่บางครั้งกลยุทธ์ที่ดูเหมือนจะเป็นมิตร ก็แฝงมาด้วยการกดดันทางอ้อมหรือเร่งให้ตัดสินใจโดยไม่ทันไตร่ตรอง ส่งผลให้ผู้บริโภคบางรายรู้ตัวอีกทีก็ต้องจ่ายเงินไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ

เรื่องเล่าทั้ง 3 เรื่องนี้ ต้องขอบคุณกรณีศึกษาจากหน่วยงานประจำจังหวัดเชียงใหม่, พระนครศรีอยุธยา และสงขลา ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ “การมีสติ” และ “สิทธิในการตัดสินใจโดยสมัครใจ” ของผู้บริโภคที่ไม่ควรถูกละเมิด

ใจดีช่วยพนักงานใหม่ สุดท้ายเสียรู้!

เคสนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ร้องเรียนได้เข้าไปจับจ่ายสินค้าในห้างเซ็นทรัล ระหว่างเดินผ่านหน้าคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง พนักงานได้เข้ามาทักทายด้วยท่าทีเป็นมิตร พร้อมกล่าวว่าเธอเป็นพนักงานใหม่ อยากขอคะแนนจากลูกค้า โดยอ้างว่าเพียงให้ลูกค้า “เข้าไปเช็กอินเฉย ๆ” เพื่อเป็นผลงาน ไม่จำเป็นต้องใช้บริการและไม่มีค่าใช้จ่าย

ด้วยความเห็นใจและไม่อยากทำให้พนักงานคนดังกล่าวเสียโอกาส ผู้ร้องเรียนจึงยอมเข้าไป แต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าคลินิก กลับถูกพนักงานอีก 3-4 คนล้อมวง พูดจาเชิงจูงใจอย่างต่อเนื่อง บางคนขอข้อมูลส่วนตัว บางคนอธิบายคุณสมบัติของคอร์สรักษาผิวหน้า และมีพนักงานคนหนึ่งขอบัตรประชาชนเพื่อลงทะเบียนตามขั้นตอน และมีการยื่นเอกสารที่ระบุว่า “เป็นแบบฟอร์มมาตรฐานทั่วไป” ซึ่งต่อมาผู้ร้องทราบว่า คือ “สัญญาซื้อคอร์ส” มูลค่า 10,000 บาท ภายใต้แรงกดดันจากจำนวนพนักงานและคำพูดที่เร่งเร้า เช่น “มีแค่วันนี้เท่านั้นนะคะ” “ถ้าไม่เซ็นตอนนี้จะพลาดสิทธิพิเศษ” ทำให้ผู้ร้องรู้สึกไม่กล้าปฏิเสธและยอมชำระเงินผ่านบัตรเครดิต

หลังเหตุการณ์ ผู้ร้องเกิดความไม่สบายใจ ศึกษาข้อมูลสิทธิผู้บริโภคทางเว็บไซต์ของ สคบ. จึงตัดสินใจติดต่อกลับไปยังคลินิกเพื่อขอยกเลิกบริการ แต่ทางคลินิกยืนยันว่า “ไม่สามารถคืนเงินได้” หากต้องการยกเลิกจะต้องหักค่าธรรมเนียม 15% ผู้ร้องจึงเข้าขอคำปรึกษาจากศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งให้คำแนะนำเรื่องการจัดทำหนังสือบอกเลิกสัญญาและแนวทางทางกฎหมายที่เหมาะสม และผลจากการประสานงานอย่างเป็นระบบ ทางคลินิกตกลงคืนเงินจำนวน 8,500 บาท (หลังหักค่าธรรมเนียม) ภายใน 7 วัน ผู้ร้องยินยอมและยุติเรื่องร้องเรียนในที่สุด

กรณีนี้ตอกย้ำถึงอันตรายของ “แรงกดดันทางอารมณ์” อาจกลายเป็นเครื่องมือบีบคั้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจโดยขาดสติ และเพียงเสี้ยววินาทีนั้น อาจแลกมาด้วยภาระหนี้สินหรือความเสียหายที่ยากจะแก้ไขในภายหลัง เพราะฉะนั้น ก่อนจะเซ็นอะไร อย่าหลงเชื่อคำพูดหรือบรรยากาศชวนใจอ่อน เพราะสุดท้ายความใจดีเพียงชั่วครู่ อาจกลายเป็นภาระหนี้สินในอนาคต

แค่ลงทะเบียนไว้ก่อน แต่ทำไมติดหนี้ทันที?

ผู้ร้องเรียนไปเดินเล่นที่ห้างโลตัส สาขาคลองสวนพลู จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะเดินผ่านบูธของคลินิกเสริมความงามที่จัดกิจกรรมอยู่ เจ้าหน้าที่ได้พูดจาชวนเชิญพร้อมนำเสนอโปรโมชันคอร์สหน้าใสในราคาลดพิเศษ โดยขอให้เธอแจ้งข้อมูลเบื้องต้นเพื่อลงทะเบียน โดยกล่าวว่า “ไม่มีภาระผูกพันใด ๆ แค่กรอกไว้ เผื่อสนใจภายหลัง”

ผู้ร้องเรียนยินยอมให้ข้อมูล รวมถึงยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่ใช้งาน คิดว่าเจ้าหน้าที่จะนำไป Add Line ของคลินิกให้ โดยไม่ได้คาดคิดว่ากำลังถูกดาวน์โหลดแอปเงินกู้ เพื่อยื่นขอสินเชื่อ จากนั้นภายในเวลาไม่นาน ระบบอนุมัติวงเงิน 7,000 บาท และเจ้าหน้าที่คลินิกได้โอนเงินนั้นเข้าบัญชีของตนเองทันที โดยที่ผู้ร้องเรียนยังไม่ทันรู้ว่าได้เป็น “ลูกหนี้” อย่างสมบูรณ์แล้ว

เมื่อรู้เรื่องไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงได้แสดงเจตนาขอยกเลิกการทำธุรกรรม แต่กลับถูกพาเดินขึ้นไปยังชั้น 2 ของห้างซึ่งเป็นที่ตั้งของคลินิก เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องกรอกเอกสารซื้อคอร์สก่อนถึงจะทำหนังสือขอยกเลิกได้ โดยอ้างว่า “ต้องทำตามขั้นตอนภายใน” ผู้ร้องเรียนยอมทำตามเพราะไม่มั่นใจว่าจะมีทางเลือกอื่น ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก และเจ้าหน้าที่แจ้งว่าได้ส่งเอกสารไปยังสำนักงานใหญ่แล้ว ระยะเวลาดำเนินการภายใน 14 วัน

ต่อมาภายหลังผู้ร้องยังรู้สึกไม่มั่นใจ จึงเดินทางไปยื่นร้องเรียนที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำว่าให้รอคำตอบจากคลินิกตามกำหนด 14 วันตามที่แจ้งก่อน หากไม่มีความคืบหน้า จะดำเนินการประสานเพื่อไกล่เกลี่ยอย่างเป็นทางการต่อไป และให้ผู้ร้องเรียนแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรพระนครศรีอยุธยาไว้ได้เลย จากเหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือปล่อยให้ใครใช้โทรศัพท์ของเราโดยไม่ระวัง เพราะนั่นอาจเปิดทางให้ผู้อื่นเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน และทำธุรกรรมโดยที่เราไม่รู้ตัว

นอกจากกลยุทธ์การชักชวนในห้างแล้ว อีกหนึ่งช่องทางที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลคือ “การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย” ซึ่งบางครั้งอาจเกินความจริง หรือสร้างความคาดหวังที่เกินจริงจนเกิดปัญหาตามมา

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลา ผู้ร้องเรียนได้เห็นโฆษณาบน Facebook ของคลินิกชื่อดังแห่งนึงที่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งระบุข้อความอย่างน่าดึงดูดว่า “ลบใต้ตาลึกได้ภายใน 10 นาที เหมือนเสกเวทมนตร์ได้” พร้อมเสนอคอร์สไหมน้ำ (Ultracol) ที่ระบุว่าให้ผลเทียบเท่าฟิลเลอร์ อยู่ได้นานถึง 6 เดือน ในราคาโปรโมชั่น 3,999 บาท  ผู้ร้องเรียนรู้สึกสนใจมาก เพราะเธอมีปัญหารอยใต้ตาลึกและต้องการทางออกแบบเร่งด่วน จึงรีบติดต่อคลินิกและเข้าไปใช้บริการในวันเดียวกัน พร้อมตัดสินใจซื้อ 2 คอร์ส รวมมูลค่า 7,998 บาท ผ่านบัตรเครดิต

พอถึงเวลาพบแพทย์ในคลินิกกลับได้รับข้อมูลที่ขัดแย้งกับโฆษณา โดยแพทย์แจ้งว่าคอร์สดังกล่าวอาจไม่ได้ผลชัดเจน แนะนำว่าอาจเหมาะกับวิธีอื่นมากกว่า เช่น ฉีดโบท็อกซ์ ผู้ร้องจึงเกิดความรู้สึกว่าโฆษณาทำให้เข้าใจผิด และขอยกเลิกบริการ แต่คลินิกปฏิเสธพร้อมเสนอให้เปลี่ยนคอร์สเป็นการฉีดโบท็อกซ์แทน เท่ากับว่าเงินที่จ่ายไปไม่ได้ถูกคืนให้ผู้ร้อง แต่กลับกลายเป็นบริการที่เธอไม่ต้องการ และถูกเปลี่ยนสิทธิ์ให้ผู้อื่นใช้แทนในภายหลังซึ่งผู้ร้องได้ให้สิทธิกับเพื่อนไป

หลังจากนั้นจึงได้เข้าร้องเรียนกับสมาคมผู้บริโภคสงขลา หรือหน่วยงานประจำจังหวัดสงขลา สภาองค์กรของผู้บริโภค เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับแจ้งเตือนภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นและขอคำปรึกษา กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการโฆษณาเกินจริง ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด แต่ยังอาจละเมิดสิทธิพื้นฐานในการ “รับข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ชวนให้เข้าใจผิด” และ “ขอยกเลิกบริการได้” หากเงื่อนไขไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้

ทั้งสามกรณีนี้สะท้อนชัดว่า ความสวยงามไม่ควรแลกมากับความไม่โปร่งใส กลยุทธ์ที่แฝงการเร่งตัดสินใจ การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับความยินยอม และการโฆษณาชวนเชื่อ ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคควร “รู้เท่าทัน” และตั้งข้อสงสัยทุกครั้งก่อนตัดสินใจใช้บริการ

หากใครพบปัญหาเหล่านี้ อย่าลังเลที่จะรักษาสิทธิของตัวเอง ร้องเรียนได้ที่…. 

หรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มและแนวปฏิบัติสำหรับผู้บริโภค